AOT ปีนี้กำไรทุกไตรมาส มั่นใจรายได้สู่ปกติ 6.2 หมื่นล้าน

AOT มั่นใจปีนี้กำไรทุกไตรมาส ลุยเปิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 เดือน ก.ย. ส่วน “คิง เพาเวอร์” เริ่มจ่ายส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำปีหน้า พร้อมเดินหน้าขยายดอนเมืองเฟส 3 ดันยอดผู้โดยสาร 6 ท่าอากาศยานทะลุ 96 ล้านคน


นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2566 (ต.ค. 2565-ก.ย. 2566) ว่า AOT จะมีกำไรทุกไตรมาส โดยไตรมาส 1/2566 (ต.ค.-ธ.ค. 2565) AOT เริ่มมีกำไรสุทธิ 342.77 ล้านบาทแล้ว เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่ขาดทุนสุทธิ 4,271.66 ล้านบาท มีรายได้รวม 8,872.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 207.48% ขณะที่รวมผลประกอบการทั้งปีงบประมาณ 2566 จะมีกำไรอย่างแน่นอนจากปี 2565 ที่ขาดทุนสุทธิ 11,087.86 ล้านบาท

ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันพบว่าจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้โดยสารภายในประเทศฟื้นตัวกลับมา 100% แล้วหากเทียบกับปี 2562 (ก่อนเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19) ขณะที่ผู้โดยสารระหว่างประเทศฟื้นตัวกลับมา 70% แล้ว โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลัก ล่าสุดมีผู้โดยสารเฉลี่ย 140,000-150,000 คนต่อวัน และประเมินว่าทั้งปี 2566 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีผู้โดยสารที่ 50 ล้านคน รวม 6 ท่าอากาศยานในความดูแลของ AOT จะมีผู้โดยสาร 96 ล้านคน ตามที่ได้ประมาณการไว้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ AOT มีผู้โดยสารรวม 46.69 ล้านคน

จากนั้นช่วงปลายปี 2566 จะเข้าสู่ไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.-ธ.ค. 2566) จำนวนผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะฟื้นกลับไปเทียบเท่ากับปี 2562 ที่มีผู้โดยสารเฉลี่ย 200,000 คนต่อวัน และรายได้รวมปีงบประมาณ 2567 จะกลับไปเทียบเท่ากับปี 2562 ที่ AOT มีรายได้ 62,000 ล้านบาท เป็นสัดส่วนรายได้จากกิจการบิน (Aero 55%) และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการบิน (Non-Aero) 45% ถือเป็นการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์หลังเกิดการแพร่ระบาด

“ส่วนปีงบประมาณ 2566 จะเริ่มมีการจ่ายปันผลหรือไม่ หลังจากงดจ่ายมา 2 ปีแล้ว ตรงนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการทั้งปี โดยปีนี้เราก็มั่นใจว่าผลประกอบการเป็นบวก และพร้อมดำเนินการตามหลักการกำกับดูแลบริษัทที่ดี” นายกีรติ กล่าว

สำหรับการให้ส่วนลดต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการช่วงวิกฤตโควิด-19 นั้นได้สิ้นสุดลงนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 ทำให้การจัดเก็บรายได้เชิงพาณิชย์ของ AOT ฟื้นกลับมาจัดเก็บตามอัตราเดิมก่อนเกิดโควิด ส่วนรายได้พื้นที่เชิงพาณิชย์และพื้นที่ปลอดอากรจากกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ (บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด และบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด) นั้น ประเมินว่าปีงบประมาณ 2566 กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยังคงต้องจ่ายในรูปแบบรายได้ต่อหัวผู้โดยสาร (Sharing per Head) เพราะจำนวนผู้โดยสารยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่าตามสัญญาสัมปทานใหม่

ทั้งนี้ ประเมินว่าปี 2567 กลุ่มคิง เพาเวอร์ จะสามารถกลับมาชำระผลประโยชน์ตอบแทนแก่ AOT ในรูปแบบส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) ตามสัญญา โดยมีทั้งหมด 3 สัญญา คือ 1.ผู้โดยสารระหว่างประเทศท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมี Minimum Guarantee อยู่ที่ 233 บาทต่อคน และเมื่อผู้โดยสารเกิน 66 ล้านคน AOT จะปรับการเรียกเก็บ Minimum Guarantee เพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไปโดยใช้สูตรการคำนวณ MAG (i) คือ การพิจารณาจากอัตราการเติบโตของผู้โดยสารประกอบกับอัตราเงินเฟ้อปีปฏิทินก่อนหน้า

นายกีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เดือนกรกฎาคมนี้ AOT จะเปิดประกวดราคาแบบรัฐและเอกชนร่วมลงทุน (PPP) โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 วงเงิน 29,390.76 ล้านบาท ซึ่งเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ระยะเวลาสัมปทาน 25 ปี โดยบริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA (AOT ถือหุ้น 49% และบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ถือหุ้นใน AOTGA ผ่านบริษัท เอสเอแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ SAL อีก 51%) จะเข้าร่วมประกวดราคาด้วย และคาดว่าจะได้ตัวผู้รับงานในเดือนกรกฎาคม 2566 เช่นกัน เนื่องจากเป็นความจำเป็นเร่งด่วน

ขณะเดียวกัน เดือนกันยายนนี้ AOT จะเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 28 หลุมจอด ซึ่งจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้อีก 15 ล้านคนต่อปี และช่วงต้นปี 2567 จะเปิดใช้งานทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ 3 ทั้ง 3 รันเวย์ จะสามารถรองรับเที่ยวบินเพิ่มเป็น 90 เที่ยวบินต่อชั่วโมง (ชม.) หรือเท่ากับจำนวนผู้โดยสาร 90 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบัน 2 รันเวย์รองรับได้ที่ 64 เที่ยวบินต่อชม.

สำหรับแผนการลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานของ AOT นั้น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ ดังนี้ 1.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปัจจุบัน AOT มีความพร้อมต่อการลงทุน ส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก (East Expansion) โดยปรับเพิ่มวงเงินขึ้นจาก 7,830 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท ตั้งเป้าว่าปลายปี 2566 จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ เปิดประกวดราคาต้นปี 2567 โดย East Expansion จะมีพื้นที่ 65,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กับอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบันที่มีพื้นที่ 200,000 ตร.ม. อีก 30%

ส่วนแผนลงทุนส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลังเดิมด้านทิศตะวันตก (West Expansion) วงเงิน 10,000 ล้านบาท และอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion) วงเงิน 41,260 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันสำนักงานอัยการสูงสุดยังอยู่ระหว่างการตรวจร่างสัญญาจ้างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อมาศึกษาแนวโน้มการเดินทางทางอากาศ ซึ่งหากการจ้าง ICAO ไม่สำเร็จ AOT ก็ยืนยันว่าจะเดินหน้า West Expansion ต่อไปแน่นอน

ทั้งนี้ เนื่องจาก West Expansion เป็นโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอยู่แล้ว ดังนั้นการผลักดันโครงการ West Expansion จึงมีความเป็นไปได้สูงมาก คาดว่าจะเสนอขออนุมัติโครงการได้ปี 2567 โดย West Expansion จะมีพื้นที่ 60,000 ตร.ม. เมื่อรวมการขยายพื้นที่ทั้ง East Expansion และ West Expansion จะช่วยเพิ่มพื้นที่อาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบันได้อีก 160% ซึ่งหลังจากผลักดันทั้ง 2 โครงการแล้วเสร็จ จึงจะมาพิจารณาโครงการ North Expansion อีกครั้งว่ามีความจำเป็นหรือไม่

2.ท่าอากาศยานดอนเมือง เฟส 3 ปัจจุบัน AOT อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียด คาดว่าจะเปิดประกวดราคาได้กลางปี 2567 พร้อมกันทั้ง 6 กลุ่มงาน วงเงิน 36,829 ล้านบาท โดยให้มีผู้รับเหมารายเดียวเพื่อง่ายต่อการบริหารสัญญาและการส่งมอบพื้นที่ การพัฒนาดอนเมือง เฟส 3 นั้นจะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 เพื่อใช้เป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ พื้นที่ประมาณ 1.6-1.7 แสน ตร.ม. รวมทั้งมีการทำถนนเชื่อมต่อกับดอนเมืองโทล์เวย์ด้วย

3.แผนการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตวงเงิน 15,000 ล้านบาท เพื่อขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศให้สามารถรองรับได้ที่ 12 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันรองรับที่ 6 ล้านคนต่อปี และเต็มการรองรับแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในปี 2568 และ 4.แผนการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ วงเงิน 12,000 ล้านบาท ด้วยการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบ และคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในปี 2568 เช่นกัน

Back to top button