SAPPE กำไร Q1 โต 79% รายได้ขายออลไทม์ไฮ รับตลาดต่างประเทศขยายตัว
SAPPE เปิดงบไตรมาส 1/66 กำไรโต 79% แตะ 274.79 ล้านบาท จากปีก่อนกำไร 153.39 ล้านบาท รับรายได้ขายออลไทม์ไฮโต 37.4% หลังตลาดต่างประเทศขยายตัว เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง
บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/66 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.66 ดังนี้
โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 1,570.0 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดรายได้จากการขายที่สูงที่สุดรายไตรมาสตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ (All Time High) คิดเป็นการเติบโต 37.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของยอดขายในต่างประเทศจากทุกภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง อเมริกา และไทย จากการที่บริษัทสามารถขยายช่องทางการขายในตลาดต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่องทางการขายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ (National Chain) และมาจากการเติบโตของยอดขายในประเทศจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 7 รายการสินค้า
สำหรับรายได้จากการขายต่างประเทศ 1,225.7 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 60.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า เป็นการปรับฐานใหม่ของตลาดต่างประเทศในปีนี้ จากความสามารถในการขยายฐานลูกค้าเข้าสู่หลายช่องทางห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) โดยเฉพาะทวีปยุโรปได้มากขึ้น นอกจากนี้ สำหรับ Key Countries ในเอเชียอาทิ เกาหลีใต้ และ ฟิลิปปินส์ บริษัทฯ ก็ยังทำการตลาดอย่างต่อเนื่องเช่น การร่วมเป็นผู้สนับสนุนซีรีส์เกาหลีใน Netflix และการต่อยอดแบรนด์ โมกุ โมกุ ให้เป็น Lifestyle Brand ในโลกเสมือนผ่านแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย “เซ็ปเพ็ตโต้ (ZEPETO)” ซึ่งมีผู้เล่นกว่า 400 ล้านคน
ส่วนรายได้จากการขายในประเทศ 294.5 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 15.0% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า โดยมีการออกสินค้าใหม่กว่า 6 รายการสินค้าที่วางขายในรูปแบบจําหน่ายจํากัดจำนวน (Seasonal) ในช่องทางร้านสะดวกซื้อ (CVS) และ 1 รายการสินค้าที่วางขายในร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญในการผลักดันการทำตลาดในช่องทาง Online และ e-Commerce เป็นช่องทางที่บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสการเติบโตระดับสูงในอนาคตที่สามารถเติบโตถึง 43.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับไตรมาสก่อนหน้า โดยภายในปี 2566 บริษัทฯ ยังคงมีแผนการออกสินค้าใหม่ทั้งสิ้น 20 รายการสินค้า ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้รายได้จากการขายในประเทศจะกลับมาเติบโตได้ต่อเนื่อง