สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง
“สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ได้พัดผ่านเข้าสู่ประเทศไทยอย่างจังเบอร์ ในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา
ครับ เพลง Wind of Change ของวงร็อคเยอรมนี “สกอร์เปียนส์” ขับร้องและประพันธ์โดยเคลาส์ ไมน์เนอ นักร้องนำของวง แรงบันดาลใจเกิดจากการไปเปิดการแสดงดนตรีที่กรุงมอสโกปี ค.ศ.1989 และที่นั่น เขาเริ่มได้รับกลิ่นไอความรู้สึกถึง “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ในฝั่งสหภาพโซเวียต
ถึงได้เกิดท่อนแรกของเพลงว่า ฉันล่องไปตามแม่น้ำมอสควา สู่กอร์กี้ พาร์ค ได้ยินเสียง “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” (I follow the Moskva Down to Gorky Park Listening to the Wind of change)
ต่อจากนั้นอีก 3 เดือนต่อมา อดีตสหภาพโซเวียตก็ปล่อยมือจากการควบคุมเยอรมนีตะวันออก จู่ ๆ ก็มีประกาศรัฐบาลจะเปิดพรมแดนเยอรมนี 2 ฝั่งในช่วงเที่ยงคืน ทั้งที่เปรียบเสมือนเป็นดินแดนต้องห้าม “หลังม่านเหล็ก” คลื่นมนุษย์จึงแห่แหนกันมารอคอยล้นหลาม
และไม่เพียงแต่จะเปิดประตูเท่านั้น พี่น้องเยอรมนี 2 ฝั่งยังช่วยกันทุบทำลายกำแพงเบอร์ลินที่มีความยาวถึง 155 กม.ซะราบเป็นหน้ากลอง กำแพงเบอร์ลินที่เคยน่าสะพรึงกลัวกลับพังครืนไร้ราคา จากนั้นก็ถึงคราวสหภาพโซเวียตรัสเซีย ที่ดินแดนถูกเฉือนออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แยกไปเป็นรัฐอิสระต่าง ๆ
นั่นก็คือ “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” หรือ “วินด์ ออฟ เช้นจ์” ที่สัมผัสรับรู้ได้ถึงลมหายใจแห่งเสรีภาพในทุกที่ทุกแห่ง และสามารถจะเป็นลมพายุไปสั่นระฆังแห่งเสรีภาพจนกรุยทางไปสู่สันติภาพได้
ท่วงทำนองเพลงเยือกเย็น แต่เนื้อร้องกลับเข้มแข็งทรงพลังยิ่งนัก ทุกถ้อยกระทงความสอดรับด้วยคำร้อง “อิน เดอะ วินด์ ออฟ เช้นจ์” อย่างกลมกลืนมีศิลปะ และโดนใจผู้รักในเสรีภาพ–สันติภาพยิ่งนัก จึงเป็นเพลงที่ติดตราตรึงใจชาวโลกแต่บัดนั้น (ปี 1990) มากว่า 3 ทศวรรษแล้ว
“สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ได้พัดผ่านเข้าสู่ประเทศไทยอย่างจังเบอร์ ในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา อันเป็นการบ่งบอกถึงบรรทัดสุดท้ายของสงครามความขัดแย้งระหว่างเสรีนิยมVSอนุรักษนิยมที่จบลงโดยฝ่ายอนุรักษนิยมที่ครอบครองสังคมไทยมายาวนาน ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยับเยิน
และไม่เพียงแต่ลมพายุหมุนจะกระหน่ำขั้วฝ่ายอนุรักษนิยมเท่านั้น แม้แต่ในกลุ่มเสรีนิยมสายกลางอย่างพรรคเพื่อไทย ก็ยังโดนพายุหมุน “สีส้ม” หอบปลิวระเนนระนาดจนร่วงจากเต็งจ๋าอันดับ 1 หล่นลงมากลายเป็นอันดับ 2 อย่างช่วยไม่ได้
มันคือ สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนบริบททางการเมืองเท่านั้น หากยังจะสั่นสะเทือนโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างถึงราก อาทิ ยุติระบบการซื้อขายเสียงเลือกตั้งโดยสิ้นเชิง การกวาดล้างระบบทุจริตที่ฝังรากมาช้านาน ระบบอภิสิทธิ์ชนในสังคม และการทำลาย “ทุนผูกขาด” ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ
พรรคก้าวไกล ผู้นำสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง จะทำความฝันสำเร็จเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ล่ะ! แต่สิ่งที่เขาได้นำเสนอต่อสังคมไม่น้อยกว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา สังคมก็ได้ให้การตอบรับจากน้อยสู่ใหญ่เป็นลำดับมา
เริ่มจากเลือกตั้งปี 62 สมัยแรกของพรรค ที่ได้ส.ส.81 คน แต่มาคราวนี้ พุ่งพรวดเป็น 152 คน นำที่ 1 คะแนนพรรคทิ้งห่างอันดับดับ 2 พรรคเพื่อไทย และยิ่งทิ้งห่างขั้วนำอนุรักษนิยมอย่างรวมไทยสร้างชาติอย่างสุดกู่
แม้หนทางข้างหน้า จะมีอุปสรรครออยู่มากมาย ทั้งเรื่องส.ว. 250 คน “มรดกเผด็จการ” และคดีความที่อาจโดนเล่นงานถึงขั้นยุบพรรค แต่เมื่อ “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่กลายร่างเป็นมรสุมไปแล้ว ก็คงจะพัดผ่านสิ่งกีดขวางอนุรักษนิยมคร่ำครึต่าง ๆ ไปได้
แม้แต่กำแพงเบอร์ลินก็ยังทะลายได้ ด้วย “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง”