พาราสาวะถี
ผ่านพ้นการเลือกตั้งมาแล้วกว่าสัปดาห์ ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด ๆ จาก กกต. ทั้งที่ก่อนหน้าจะมีการหย่อนบัตรไม่กี่วันเคยประกาศปาว ๆ อีก 2 วันจะมีข่าวใหญ่
ผ่านพ้นการเลือกตั้งมาแล้วกว่าสัปดาห์ ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด ๆ จากคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.ทั้ง 6 คน ทั้งที่ก่อนหน้าจะมีการหย่อนบัตรไม่กี่วันเคยประกาศปาว ๆ อีก 2 วันจะมีข่าวใหญ่ มาจนวันนี้ทุกอย่างเงียบเชียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอน ข้ออ้างการรับรองผลการเลือกตั้ง กกต.มีเวลาถึง 60 วัน ยึดตามกรอบกฎหมายก็ไม่ผิด ไม่เป็นปัญหา ถ้าไม่คำนึงถึงความเสียหายของบ้านเมืองก็เอากันให้สุด ไม่ต้องสื่อสารอะไรกับสังคม
เหตุที่ต้องกระตุกสำเหนียกกันแบบนี้ เพราะได้ฟังผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจบ่นว่าเป็นรัฐบาลรักษาการมันลำบาก ขยับทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องขอจาก กกต. แล้วจะมามัวเงื้อง่าราคาแพงหาอะไรไม่ทราบ ผลการเลือกตั้งส่วนไหนที่ไม่เป็นปัญหาก็ทยอยประกาศรับรองไป จุดไหนที่เห็นว่าอาจจะเข้าข่ายต้องให้ใบเหลือง ใบแดง ก็บอกกล่าวกับประชาชนให้รับรู้ อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าบ้านเมืองยังมีความหวัง ไม่ใช่เอาแต่กบดานจนทำให้คนสงสัยกำลังคิดและทำอะไรกันอยู่
ผิดกับพวกนักร้องทั้งหลายที่ขยันยื่นเพื่อหวังจะสอย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้ได้ ยกทุกเรื่องใช้ทุกช่องทางไปดำเนินการ สุดท้ายมันก็จะวกกลับมายังองค์กรและคณะกรรมการที่มีอำนาจชี้ขาดว่าจะ “คิดยังไงกับคำร้องเหล่านั้น” นาทีนี้พวกที่โง่แต่ขยันก็ขยับให้ข่าวโจมตีไม่แพ้พวกนักร้องเช่นกัน อย่างกรณีการโพสต์ข้อกล่าวหาว่า ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจริง แต่ทางมหาวิทยาลัยยืนยันว่าจบพร้อมเปิดเผยรายงานที่เจ้าตัวทำในสมัยเป็นนักศึกษาด้วย ทำให้พวกไอโอหน้าโง่หน้าแหกกันเป็นแถว
บอกแล้วว่าขบวนการดิสเครดิต ด้อยค่าฝ่ายตรงข้าม ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำลายความน่าเชื่อถือของคนที่ไม่ยอมรับขบวนการสืบทอดอำนาจอย่างต่อเนื่อง หากเงยหน้าลืมตาขึ้นมาดูโลกแห่งความเป็นจริง ย่อมจะเห็นสิ่งที่ปรากฏจากผลการเลือกตั้ง ในเขตทหารทั่วประเทศถามว่าพรรคไหนที่ได้คะแนนเสียงจากคนมีสีถล่มทลายไม่ใช่ก้าวไกลหรอกหรือ นี่คือสัญญาณของการปลุกให้ฝ่ายต้องการอยู่ยาวได้ตระหนักแล้วว่า 9 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอ้างว่าทำได้มากกว่ารัฐบาลอื่น ๆ นั้น แม้แต่พวกเดียวกันยังเบื่อหน่าย ไม่ยอมรับ
อาจจะมองกันว่าที่ผ่านมา ก็มีการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับบรรดาข้าราชการ โดยเฉพาะกำลังพลในกองทัพต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มันก็ถูกเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เนื่องจากความเป็นจริง ค่าตอบแทนที่ได้รับนั้นมันเล็กน้อย เทียบไม่ได้กับโอกาสความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ซึ่งต้องยอมรับและเป็นที่วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในแวดวงของคนมีสี มีคนเพียงแค่หยิบมือที่ได้ผลประโยชน์กันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
นั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า การอยู่ในอำนาจผ่านกลไกของขบวนการสืบทอดอำนาจ ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาแม้แต่น้อย ในทางกลับกันถูกมองว่า ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มีแต่การใช้อำนาจจนเกินขอบเขต หรือที่เรียกว่า “อำนาจนิยม” คนโดยทั่วไปอาจเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง จึงไม่ได้รับรู้ว่าการใช้อำนาจแบบนี้เป็นอย่างไร แต่ผู้ที่อยู่ในแวดวงซึ่งจะต้องมีความเจริญในหน้าที่การงานล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ
เห็นได้จากการแต่งตั้งโยกย้ายในระดับที่สำคัญ มีการโยกแบบข้ามห้วยข้ามหัวกันเป็นว่าเล่น แต่ภายใต้อำนาจเผด็จการ คสช. หรือแม้กระทั่งรัฐบาลสืบทอดอำนาจ กระทำเช่นนี้ถูกมองข้าม ไร้การตรวจสอบ ผิดกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยุคของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวอย่าง ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ ความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในเขตทหาร จึงเป็นการแสดงออกอีกทางหนึ่งว่า เวลาของลุงหมดแล้วจริง ๆ รวมไปถึงพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งต้องยอมรับให้ได้ว่า ได้เวลาต้องเปลี่ยน
คืนวันอังคารที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงกระแสของความเปลี่ยนแปลงไว้อย่างน่าฟัง สังคมต้องศึกษา อะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำ อย่าไปฝืนการเปลี่ยนแปลง มันต้องเปลี่ยนพรรคการเมือง นักการเมือง องค์กรที่ใช้อำนาจก็ต้องเปลี่ยน ที่เป็นการตบหน้าหรือสื่อให้ลุงที่อยากอยู่ยาวรู้ของคนแดนไกลก็คือ ในวันที่รู้ผลเลือกตั้ง ทหารตามแนวชายแดนฉลองกันยกใหญ่ สอดรับกับคะแนนเสียงที่ออกมาในเขตทหาร นี่คือสัญญาณการปลุกให้ตื่นตัวปล่อยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
มีประเด็นที่อดีตนายกฯ ให้ความเห็นแล้วชวนให้คิดกับกระแสข่าวความพยายามจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่เจ้าตัวย้ำอย่างหนักแน่นว่า ไม่มีทางสำเร็จ โดยเห็นว่าถ้าทำเช่นนั้นจริงมันจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ฝ่ายอยู่ยาวอาจสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่บ้านเมืองเดินหน้าไม่ได้ จุดใหญ่ใจความก็คือ จะกลายเป็นรัฐบาลที่ต่างชาติไม่ยอมรับ สังคมโลกไม่ให้การรับรอง แน่นอนว่า จะหนักหน่วงยิ่งกว่ารัฐบาลจากการรัฐประหารเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของทักษิณเกี่ยวกับการจับมือตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมืองถือเป็นโจทย์ที่ฝ่ายพรรคร่วมตั้งรัฐบาลต้องนำไปคิด กับการที่บอกว่า ต้องใช้ความพยายามในการแสวงหาความร่วมมือเพื่อให้ ส.ว.โหวตให้พิธาเป็นนายกฯ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องการที่จะดึงพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่เหลืออยู่มาร่วมรัฐบาลเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.สำเร็จ เพราะท้ายที่สุดอาจจะได้เพียงแค่ความสะใจ แต่เสถียรภาพของรัฐบาลจะมีปัญหา ตรงนี้ต้องยอมรับ ฐานะคนที่มีบทเรียนขนาดมีเสียง ส.ส. 377 ที่นั่งเป็นรัฐบาลพรรคเดียวยังไปไม่รอด ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า เสียงที่มากเกินไปในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ไม่ได้หมายถึงความมั่นคงของรัฐบาล
การเดินหน้าของบ้านเมืองหลังเลือกตั้งจะเป็นไปในทิศทางใด ขึ้นอยู่กับ กกต.ว่าจะรับรองผลการเลือกตั้งได้เร็วขนาดไหน เห็นการทำงานแบบนี้ต้องยอมรับว่าน่าเหนื่อยใจ เป็นไปได้ว่านอกจากจะทำตัวเป็นคุณละเอียด ทำทุกอย่างให้รอบคอบแล้วค่อยรับรองกันแบบตูมเดียว อีกด้านก็น่าจะเป็นการหยั่งท่าทีของฝ่ายฟอร์มรัฐบาล จะสร้างแรงกดดัน เกิดการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การทำผิดกฎหมายหรือไม่ และการทอดเวลาให้นานออกไปก็จะได้เห็นความขัดแย้งระหว่างคนในขั้วการเมืองใหม่ด้วย นี่อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งเห็นได้จากพวกเสี้ยมที่ทำกันเป็นขบวนการแบบไม่หยุดหย่อนตั้งแต่รู้ผลเลือกตั้ง