Nvidia เอื้อหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กฯ โลก
ปรากฏการณ์ราคาหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก ปรับตัวขึ้นทำสถิติออลไทม์ไฮ 391.50 ดอลลาร์สหรัฐ
ปรากฏการณ์ราคาหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก ปรับตัวขึ้นทำสถิติออลไทม์ไฮ 391.50 ดอลลาร์สหรัฐ ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าทางการตลาด (มาร์เก็ตแคป) ทะลุ 960,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นร้อนแรง เกิดขึ้นหลังจาก “อินวิเดีย” ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/66 โดยมีรายได้ 6,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.09 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่ประเมินกันว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ 92 เซนต์
โดย “อินวิเดีย” ระบุว่า มียอดขาย 4,280 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคาดการณ์ของตลาดประเมินไว้ 3,900 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เป็นผลมาจากดีมานด์ สำหรับชิปหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จากลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ รวมถึงบริษัทอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้บริโภคขนาดใหญ่ ที่ใช้ชิปของอินวิเดีย ในการฝึกฝนปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเช่น ChatGPT ของ OpenAI
มีการประเมินรายได้ “อินวิเดีย” ไตรมาส 2/66 มีโอกาสแตะระดับ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าคาดการณ์เฉลี่ยของตลาดกว่า 50% โดยประธานกรรมการบริหารอินวิเดีย เชื่อบริษัทกำลังเพิ่มการผลิตอย่างมาก เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อดีมานด์สำหรับชิปศูนย์ข้อมูลของบริษัทที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้
สำหรับ Nvidia (NVIDIA Corporation) เป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ยักษ์ผู้นำในการผลิตหน่วยประมวลผลทางด้านกราฟิก (GPU) สำหรับเกมภายใต้แบรนด์ GeForce การออกแบบภายใต้แบรนด์ Quadro ระบบข้อมูลวิทยาศาสตร์และการวิจัยภายใต้แบรนด์ Tesla และ DGX และความบันเทิงในรถยนต์ รวมถึงระบบวงจรรวมเดี่ยว (System on Chip) สำหรับการประมวลผลในมือถือ และยานยนต์ การกระจายตัวของลูกค้าอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากไม่มีลูกค้ารายใดที่มีสัดส่วนของรายได้เกิน 10% ของรายได้ทั้งหมด มีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกอยู่ที่ราว 70%
โดยมีคู่แข่งสำคัญ ได้แก่ AMD และ INTEL กลยุทธ์หลักของบริษัทได้แก่ 1) พัฒนาสินค้าเดิมของบริษัทให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น 2) เน้นการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงใหม่ จากการคิดค้นภายในบริษัท และซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องบริษัทมีรายได้จากเกม 50% รองลงมา Data center 25% จากภาพเสมือนจริงจาก 10% จากรถยนต์ 5% และจาก Cryptocurrency 3% รายได้ส่วนใหญ่ มาจากตลาดเอเชีย คิดเป็น 70% ของรายได้ แบ่งเป็น 30% จากไต้หวัน 20% จากจีน และตลาดสหรัฐฯ คิดเป็น 15% เป็นบริษัทที่รายได้จากการผลิตชิปใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกของโลก
นั่นเองทำให้ “หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์” ทั่วโลกฟื้นตัว ปรับขึ้นตอบรับอย่างร้อนแรงเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ประเด็น “ยูเครน-รัสเซีย” ส่งผลทำให้เกิด supply chain disruption ในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากทั้งยูเครนและรัสเซีย เป็นซัพพลายเออร์วัตถุดิบในการผลิต โดยพบว่า กว่า 90% ของ semiconductor-grade neon gas ที่ใช้ในสหรัฐฯ นำเข้าจากยูเครน และ 35% ของแร่ palladium ที่ใช้ในสหรัฐฯ มีการนำเข้าจากรัสเซีย
โดยวัตถุดิบทั้ง 2 อย่างเป็นส่วนสำคัญในการใช้ผลิตชิป สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงจีนมีการตอบโต้ไต้หวันด้วยการระงับการส่งออก “ทราย” ไปไต้หวัน ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต “ชิป” ดังกล่าว
อย่างไรก็ดีมีกระแสข่าว TSMC เตรียมวางแผนสร้างโรงงานผลิตชิป เพิ่มอีกหลายแห่งในรัฐแอริโซนา จากเดิมมีแค่แห่งเดียว เพื่อรองรับการผลิตชิป 3 นาโนเมตร เนื่องจาก TSMC เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของแอปเปิล และผู้ผลิตชิป สัญญาจ้างรายใหญ่สุดของโลกน่าจะใช้เม็ดเงินสูง 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับ “หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย” ภายใต้ภาพของ Chip shortage ที่ผ่อนคลายขึ้น และ China reopening ส่งผลดีต่อทั้งโรงงานจีนและกลุ่มสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึง PCBA ในกลุ่มมือถือ, รถยนต์ แนวโน้มยืนระดับได้ดี บนโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ที่มีแนวโน้มเป็น Mild recession รวมถึงกลุ่ม EV ที่เติบโตได้ต่อเนื่อง..!!