OSP ถอดผ้าอนามัย.!?
ว่าไปแล้วตลาดผ้าอนามัยเป็นตลาดที่ไม่มีวันตายนะ (ผู้หญิงต้องใช้ทุกเดือน) มูลค่าตลาดเมื่อปี 2564 อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท
ว่าไปแล้วตลาดผ้าอนามัยเป็นตลาดที่ไม่มีวันตายนะ (ผู้หญิงต้องใช้ทุกเดือน) มูลค่าตลาดเมื่อปี 2564 อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท โดยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 3-5% แถมกำไรก็ดี๊ดีอีกต่างหาก..!! แต่อยู่ ๆ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ของ “กลุ่มโอสถานุเคราะห์” ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ยูนิ.ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด (ยูนิชาร์ม) จำนวน 420,500 หุ้น คิดเป็น 5.85% ก็ขายหุ้นทั้งหมดให้กับบริษัท ยูนิชาร์ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มูลค่า 3,000 ล้านบาท..!?
อ้อ…หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ยูนิชาร์ม ก็คือเจ้าของแบรนด์ผ้าอนามัย “โซฟี” รวมทั้งผ้าอ้อมเด็ก “มามี่ โพโค” และ “มามี่ โพโค แพ้นท์” และผ้าอ้อมผู้ใหญ่ “ไลฟ์รี่” นั่นแหละ
โดย ยูนิ.ชาร์ม (ประเทศไทย) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2530 เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง OSP กับยูนิ-ชาร์ม คอร์ปอเรชั่น ของญี่ปุ่น…นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 36 ปีแล้ว ที่ OSP กับยูนิชาร์มผูกข้อไม้ข้อมือเป็นพันธมิตรกัน โดย OSP รับหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “โซฟี” “มามี่ โพโค” “มามี่ โพโค แพ้นท์” และ “ไลฟ์รี่” ไปสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศ…
ถ้าไปส่องงบการเงินของยูนิ.ชาร์ม (ประเทศไทย) ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าไม่ธรรมดา มีรายได้หลักหมื่นล้าน ส่วนกำไรระดับพันล้าน…โดยปี 2563 มีรายได้รวม 15,607.21 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,765.50 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 24.13% ถัดมาปี 2564 มีรายได้รวม 15,878.66 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,235.10 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 14.08% ส่วนปี 2565 มีรายได้รวม 16,924.47 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,970.32 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 23.46%
แหม๊..ดูไปแล้วกำไรบางปีมากกว่า OSP อีกนะเนี่ย…อย่างปี 2565 OSP มีรายได้รวมอยู่ที่ 27,481.87 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,933.77 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิ 7.00% เท่านั้นเอง
แล้วถ้าเทียบเคียงจากงบปี 2565 ซึ่ง OSP ได้รับเงินปันผลจากยูนิ.ชาร์ม (ประเทศไทย) จำนวน 300 ล้านบาท ก็คิดเป็น 15.51% ของกำไรทั้งปีซึ่งอยู่ที่ 1,933.77 ล้านบาท…ก็ไม่น้อยนะ
อ้าว…แล้วทำไม OSP ถึงขายหุ้นยูนิ.ชาร์ม (ประเทศไทย) เสียล่ะ..? อันนี้น่าคิด
ที่จริงเริ่มเห็นเค้าลางการถอดผ้าอนามัยของ OSP…อุ๊ย แยกทางกันของทั้งสองบริษัท จากการที่ยูนิชาร์มดึงผลิตภัณฑ์ “โซฟี” “มามี่ โพโค” และ “ไลฟ์รี่” จาก OSP มาจำหน่ายเองทั่วประเทศ มีผลเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2560 ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2560 ของ OSP รายได้จากการเลิกธุรกิจการจัดจำหน่ายสินค้าของยูนิชาร์ม หายไปคิดเป็นมูลค่า 578.90 ล้านบาทเชียวนะ
ส่วนการขายหุ้นยูนิชาร์มครั้งนี้ มีคำอธิบายจาก OSP ว่า “เป็นไปตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการลงทุนของกลุ่มโอสถสภา ที่มุ่งเน้นการขยายกลุ่มธุรกิจหลัก (core businesses) ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ตลอดจนกลุ่มธุรกิจ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางการแข่งขันของโอสถสภาจากธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ”
จะฟังขึ้นหรือเปล่า..? อันนี้แล้วแต่จะคิด…
แต่เอาเถอะ…อย่างน้อย ๆ OSP ก็ได้เงินจากการขายหุ้นยูนิชาร์ม 3,000 ล้านบาทมาเติมหน้าตัก เพื่อไปขยายคอร์บิสซิเนสต่อไป (จะว่าไปสินค้าของยูนิชาร์มก็จัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นหนึ่งในคอร์บิสซิเนสของ OSP นะ แล้วทำไมขายเสียล่ะ..มีอิหยังซ่อนอยู่ป๊ะเนี่ย..?)
เพราะถ้าหันไปดูคู่แข่งในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังก็ถูกท้าทายอย่างหนักจากบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ที่มาแย่งส่วนแบ่งตลาด (ปัจจุบันเป็นเบอร์ 2 มีมาร์เก็ตแชร์ราว 20.7%) ด้วยการสร้างอิโคซิสเต็มอย่างต่อเนื่อง…เลยทำให้ OSP นั่งไม่ติด ต้องควานหากลยุทธ์เพื่อรักษาแชมป์เบอร์ 1 (มาร์เก็ตแชร์ราว 54.6%) ให้จงได้…
ส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่คอร์บิสซิเนสก็คงเป็นเป้าหมายที่จะโดนขายออกมาอีกแหง ๆ…ไม่เชื่อก็คอยดูกันต่อไป
อ้อ..แม้ OSP จะถอดผ้าอนามัยไปแล้ว แต่ผู้ถือหุ้นยังนอนหลับสนิทตลอดคืนอยู่นะ…ดูได้จากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นในช่วงนี้…
…อิ อิ อิ…