CHASE แย้ม Q2 ฟื้น จ่อยื่นประมูลหนี้ NPL ดันพอร์ตปี 67 แตะ 2 พันล้าน
CHASE ส่งซิกไตรมาส 2/66 ฟื้นตัว เตรียมยื่นประมูลสถาบันการเงิน 2 พอร์ต มูลค่า 2.5 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้าปี 67 ซื้อหนี้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) แตะ 2 พันล้านบาท
คุณ ณัฐมน ทองปัชโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ CHASE เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 7 มิ.ย.66 ว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจปี 2566 ว่าบริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ AMC Industry คาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) ค่อนข้างสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ไม่ว่าจะเป็นจากการหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือในเรื่องของจาก NCB ในไตรมาส 1/2566 ก็เห็นได้ว่ามูลหนี้ที่มันกำลังจะเริ่มไหลมาเป็น NPL ซึ่งมองว่าจะโอกาสของธุรกิจ AMC รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไทย หลังจากการท่องเที่ยวและภาคบริการควบคู่ไปกับการจ้างงานที่ดีขึ้น
สำหรับ ความพร้อมของเงินทุนเพื่อซื้อ NPL สินทรัพย์ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายปี 2567 ซื้อหนี้ NPL ไว้ที่ 2 พันล้านบาท อีกทั้งการดำเนินการ IPO และกู้ธนาคารเพิ่มเติมเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะเติบโตไปพร้อมกับการลงทุนที่แข็งแกร่งบน NPL สินทรัพย์สำหรับธุรกิจ AMC
ส่วน Existing O/S โดยปกติหลังจากได้มา NPL ทำให้มีเงินเก็บถึงจุดสูงสุดในช่วงปีที่ 3 ถึงปีที่ 5 โดยคาดว่า NPL คงค้างระหว่างปี 2563-2565 จะสามารถเริ่มสร้างโมเมนตัมรายได้เริ่มต้นในไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ การควบคุมบริหารต้นทุน บริษัทมีการปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว ในการให้ความสำคัญเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งกลยุทธ์เน้นย้ำการควบคุมต้นทุนหนี้ และการจัดการโดยการจัดลำดับความสำคัญหนี้เฉพาะที่ต้องการ เพื่อมุ่งลดต้นทุน
รวมถึงการใช้โปรแกรม Auto Dialer เพื่อช่วยลดต้นทุนการรวบรวมเพรียวลมคอลเลกชันกระบวนการและการปรับปรุงโอกาสสำเร็จ
ขณะที่แนวโน้มผลงานไตรมาส 2/2566 ค่อยๆ จะฟื้นตัวขึ้น มองว่าปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่างๆ ก็น่าจะเริ่มไม่เป็นกังวล ประกอบกับบริษัทได้เริ่มทดลองโปรแกรม Auto Dialer ซึ่งส่งผลดีต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าไตรมาส 1/2566 จะดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/2566
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีมูลหนี้อยู่ประมาณ 3,600 ล้านบาท โดยประมูลไปหลายพอร์ต ซึ่งเดือนมิถุนายนนี้บริษัทมี 2 สถาบันการเงินใหญ่ ที่กำลังจะยื่นประมูลเข้าไปอีก 2 พอร์ตประมาณ 2,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่า NPL จะไหลลงมาเรื่อยๆ ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องของการทำ M&A และ JV ยังอยู่ระหว่างปรึกษาคุยกัน
อนึ่ง ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12.25 ล้านบาท ลดลง 84% ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดเก็บหนี้ได้ลดลง ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ในการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และการขยายทีมงานบริหาร ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 145.54 ล้านบาท ลดลง 27% สาเหตุหลักจากการจัดเก็บเงินได้ลดลง