สิ้นสุดทางหุ้น?
ในใจลึก ๆ ของเดี๊ยนยังรู้สึกว่า ตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดหุ้นที่น่าลงทุนเหมือนเดิม แต่สถานการณ์หลายอย่างที่ประเดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย
ในใจลึก ๆ ของเดี๊ยนยังรู้สึกว่า ตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดหุ้นที่น่าลงทุนเหมือนเดิม แต่สถานการณ์หลายอย่างที่ประเดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย กลายเป็นไฟต์บังคับที่ทำให้ต้องเปลี่ยนมุมมองไปในทางลบ เพราะตลาดหุ้นไทยคอยเงี่ยหูฟังแต่ข่าวร้ายเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้การเคลื่อนตัวของดัชนีในแต่ละวันโน้มเอียงไปในทิศทางขาลง ซึ่งเป็นชนวนเหตุให้หุ้นขนาดใหญ่ถูกเวียนเทียนขายตลอดเวลาไงล่ะคะ
ประเด็นดังกล่าวเห็นได้จากหุ้นพลังงานโดนถล่มเป็นช่วง ๆ ตามติดมาด้วยหุ้นปิโตรเคมีที่โดนซัดจนโงหัวไม่ขึ้น และถัดจากนั้นก็เป็นคิวของหุ้นค้าส่งค้าปลีก ก่อนจะวกกลับมาซื้อ ๆ ขาย ๆ ในหุ้นแบงก์ ขณะที่หุ้นลีสชิ่งก็อยู่ในช่วงของการเซตฐานใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม จึงโดนหางเลขเพียงเล็กน้อย แต่ที่โดนหนักแต่ไม่ค่อยเป็นข่าวคราวก็คือ หุ้นรับเหมา ส่วนรายที่เป็นข่าวในลักษณะ “เล่นจริง เจ็บจริง” ต้องยกให้หุ้นสื่อสารพะย่ะค่ะ
วันนี้จึงเหลือหุ้นที่พอต้านทานแรงขายเพียงไม่กี่ตัว แถมยังเคาะขวากันแบบเปาะแปะอีกด้วย “โมนิก้า” เลยสงสัยมากขึ้นทุกวันว่า นี่อาจเป็นการสิ้นสุดทางหุ้นสำหรับนักเล่นบางกลุ่มหรือเปล่า? ดัชนีถึงตกอยู่ในสภาพสาละวันเตี้ยลง ขณะที่วานนี้สามารถประคองตัวปิดที่ระดับ 1,533.21 จุด บวกไป 4.67 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.05 หมื่นล้านบาท จึงกลายเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจเหลือเกินเจ้าค่ะ
โดยเฉพาะท่าทีของหุ้นสะดวกซื้ออย่าง CPALL ซึ่งหลายคนมองว่า ราคาหุ้นควรไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ แต่เอาเข้าจริงดันเกิดอาการล่มปากอ่าวเป็นประจำ จนกลายเป็นช็อตที่ทำให้คนเล่นรอบต้องคิดหนัก หลังวานนี้ราคาหุ้นเริ่มย่อตัวให้เห็นอีกครั้ง ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 62.50 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 1.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.68 พันล้านบาท มันเป็นเรื่องที่ชวนให้คิดไปว่า หุ้นอาจลงไปหาโลว์เดิมที่บริเวณ 60 บาท ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาใหม่อ๊ะป่าว?
ส่วนรายที่ตกอยู่ในอาการโคม่า และยังไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ คงต้องมองไปที่หุ้นกระดาษลัง SCGP แบบไม่ต้องสงสัย เพราะกลายเป็นหุ้นใหญ่อันดับต้น ๆ ที่ถูกขายไม่เลิก จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ระดับ 37.75 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 1.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 622 ล้านบาท พร้อมกับทำโลว์ในรอบ 2 ปี 7 เดือน แถมมีความวิตกกังวลว่า งบแย่! มันกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้หุ้นต้องไหลลงอีกนะคะ
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น STARK ซึ่งเป็นหุ้นเละเทะเหลือเกินในความคิดของอีฉัน เพราะมองในมุมของการแจกแจงรายละเอียดที่เกี่ยวกับกลโกงภายในบริษัท มันทำให้เห็นว่า ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ ตลท. และ ก.ล.ต. สักเท่าไหร่? เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่ทุกคนส่ายหน้าหนีกันเป็นแถว เพราะมันทำให้รู้ว่า การยืนปิดที่ระดับ 0.15 บาท ลบไป 0.03 บาท หรือลงไป 16.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 184 ล้านบาท คือหายนะน่ะซี
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เดี๊ยนต้องเอ่ยถึงหุ้น MPIC ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเริ่มมีข่าวหนาหูถึงร่างทรงกลุ่มสตาร์คได้มาสิงสู่เป็นที่เรียบร้อยร้อย และตอนนี้กำลังเปิดยุทธการไล่เช็กชื่อกันจ้าละหวั่น จนสุดท้ายไปสะดุดที่ชื่อของ จ. จังเบ้อเร่อ! “โมนิก้า” เลยต้องเข้าไปเผือกกับเขาด้วยคน เพราะเดี๊ยนก็อยากรู้ข้อเท็จจริงเรื่องราวลับ ๆ ล่อ ๆ ที่เม้าท์กันอยู่นั้น..มันมีมูลขนาดไหนนะออเจ้า
ส่วนรายที่มีมูลว่า “ไม่มีคนเล่น ไม่มีคนเอา” เดี๊ยนคงต้องมองไปที่หุ้นถุงมือยาง STGT เป็นรายถัดมา หลังมีข่าวออกมาในทำนองบริษัทแม่หันไปเล่น “ยางแท่ง” มากกว่า “น้ำยาง” มากขึ้นแบบนี้..มันหมายความว่า หมดรักลูกคนนี้เสียแล้ว! ส่งผลให้อนาคตของหุ้นถุงมือยางลอยเคว้งคว้าง เลยสงสัยว่า การยืนปิดที่ระดับ 8.90 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป3.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 72 ล้านบาท ไม่ใช่โลว์ของเที่ยวนี้กระมัง!..อิอิอิ
ตบท้ายกันที่เรื่อง ก.ล.ต.อเมริกา ได้ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินทั้งหมดของ “ไบแนนซ์” ในอเมริกา อันเป็นผลจากก่อนหน้านี้ได้ยื่นฟ้องเจ้าพ่อคริปโตในฐาน ‘บริหารจัดการเงินผิดพลาด’ ทำให้เงินของนักลงทุนมีความเสี่ยงถูกขโมย พร้อมกับขีดเส้นตายภายใน 5 วันต้องเคลียร์เรื่องให้ชัดว่า Binance.US เป็นคนที่เข้าถึงเงินของลูกค้าได้เพียงผู้เดียว และภายใน 30 วัน ทรัพย์สินทั้งหมดของลูกค้าต้องถูกโอนไปยังกระเป๋าเงินใหม่ที่ Binance.US เท่านั้น..งานนี้เลยทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับคริปโตเกิดอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปตามกัน..ส่วนจะเป็นใครบ้าง ก็ต้องไปสืบค้นกันเองนะจ๊ะ