TRUE ปลื้ม ทริสฯ เพิ่มเครดิต A+ ตอกย้ำ “ผู้นำโทรคมนาคม-เทคโนโลยี”
ทรู คอร์ปอเรชั่น ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรที่สูงขึ้น A+ ต่อเส้นทางอนาคตของบริษัท และการวางรากฐานสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ
นายนกุล เซห์กัล และนางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) (Co-Chief Financial Officer) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ได้กล่าวถึงความหมายและความสำคัญของการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่สูงขึ้น ต่อเส้นทางอนาคตของบริษัท และการวางรากฐานสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศอันดับเครดิต A+
โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ของบริษัทนั้น คือการประเมินแนวโน้มความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด การจัดอันดับเครดิตจึงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการประเมินความน่าเชื่อถือและความมั่นคงทางการเงินของบริษัท อีกทั้งช่วยให้นักลงทุนและเจ้าหนี้มีข้อมูลเพียงพอในการประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงิน การลงทุน หรือการเข้าร่วมพันธมิตรทางธุรกิจ
“ยิ่งอันดับเครดิตสูง บริษัทก็จะยิ่งมีทางเลือกที่มากขึ้นในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า ทำให้ในระยะยาวช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการกู้ยืมและเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน คล้ายๆ กับในกรณีของบุคคล การมีอันดับเครดิตที่ดีช่วยให้บุคคลนั้นๆ สามารถเข้าถึงสินเชื่อหรือเงินกู้จากธนาคารได้ในอัตราดอกเบี้ยที่สมเหตุสมผล” นายนกุลกล่าว
สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ภายหลังการควบรวม ถูกจัดให้อยู่ในระดับ A+ โดยทริสเรทติ้ง สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำในประเทศไทยซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2536 ทั้งนี้ การจัดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งจะเริ่มต้นตั้งแต่ AAA ไล่ลงไปจนถึง D เรทติ้งดังกล่าวถือเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้นักลงทุนทราบถึงสุขภาพทางการเงินและความเสี่ยงของบริษัทที่ตนต้องการเข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ ก่อนการรวมกิจการ อันดับความน่าเชื่อถือของ TRUEE อยู่ที่ระดับ BBB+ และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC อยู่ที่ระดับ AA การที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ควบรวมแล้วได้รับการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นสามระดับ จาก BBB+ เป็น A+ นั้น ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนได้กว้างขึ้นในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ในปี 2565 ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนหรือ ‘หุ้นกู้’ คิดเป็นมูลค่ารวมราว 1.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 19 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้ บริษัทหลายแห่งมีการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ และจากข้อมูลพบว่าในจำนวนนี้ บริษัทที่สามารถเข้าถึง 75 เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนดังกล่าวได้นั้น เป็นบริษัทที่มีอันดับเครดิตที่ A หรือสูงกว่าทำทุกสิ่งให้เหนือความคาดหมาย
สำหรับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทใหม่ ซึ่งเกิดจากการหลอมรวมกิจการระหว่างทรู-ดีแทคนั้น ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการประสานจุดแข็งด้านการเงินของทั้งสองบริษัทภายหลังการควบรวม ตำแหน่งทางการตลาด (market position) ที่แข็งแกร่งในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยด้านเศรษฐกิจระดับมหภาค อาทิ ตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ประเทศไทย อันเนื่องมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยังมีส่วนช่วยให้บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ A+ อย่างไรก็ดี ในการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือนั้นได้มีการนำปัจจัยเรื่องความท้าทายจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในตลาดโทรคมนาคม ภาระหนี้สิน และความเสี่ยงของการรวมกิจการ มาประเมินร่วมด้วย
ด้านการจัดอันดับเครดิตบริษัทนั้นเป็นเสมือนจุดอ้างอิงให้กับนักลงทุนในการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทน ยิ่งอันดับเครดิตสูง ความเสี่ยงก็ยิ่งต่ำ และในระยะยาวนั้นจะช่วยลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้นให้แก่ผู้ถือหุ้น
ทริสเรทติ้งมีการจัดอันดับเครดิตโดยพิจารณาจากมุมมองและแนวโน้มในอนาคตเป็นหลัก ซึ่งทริสเรทติ้งนั้นเชื่อว่าการรวมกิจการในครั้งนี้จะนำมาซึ่งโอกาสมากมายจากการประสานพลัง (synergy) ของสองบริษัท เพื่อรักษาอันดับเครดิตนี้ไว้ ต้องทำทุกอย่างให้ได้ตามเป้าหมายและแผนธุรกิจที่วางไว้ การทำสิ่งต่างๆ ให้เหนือความคาดหมายของลูกค้า ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จะช่วยปูทางไปสู่การจัดอันดับเครดิตที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งทุกคนในบริษัทล้วนมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนการดำเนินงานและเป้าหมายด้านกลยุทธ์ของเรา
โดยการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งด้วยภารกิจที่ล้นมือทำให้ Co-CFO ทั้งสองคนต้องแบ่งบทบาทความรับผิดชอบอย่างชัดเจนเพื่อให้สามารถมุ่งดูแลส่วนงานเฉพาะด้านได้อย่างราบรื่นมากที่สุด อย่างไรก็ดี ความร่วมมือและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุประโยชน์ทางการเงิน (financial synergies) เพื่อให้บริษัทสามารถเดินหน้ากลยุทธ์ผ่านการสร้างคุณค่า (value creation) อย่างต่อเนื่อง อันจะนำมาซึ่งความสำเร็จในระยะยาว
“ในการรวมธุรกิจ ความร่วมมือและการเรียนรู้ซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เพื่อเราจะได้เข้าใจเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจของบริษัท จากนั้นเราจึงค่อยจัดสรรบทบาทความรับผิดชอบให้สอดคล้องกับทักษะความเชี่ยวชาญของแต่ละคน การทำเช่นนี้ช่วยให้เราทั้งคู่มีจุดมุ่งหมายการทำงานที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนบริษัทแห่งนี้ไปสู่อนาคต” นายนกุล กล่าว
ทั้งนี้ TRUE ได้กำหนดเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านองค์กร ภายใต้วิสัยทัศน์ในการก้าวไปเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย ที่จะยกระดับวิถีชีวิตของผู้คนนับล้าน อย่างไรก็ดี หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงินทั้งสองคนก็เน้นย้ำถึงภารกิจเบื้องหน้าในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง การมุ่งยกระดับผลการดำเนินงาน และการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
“ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่ง เราจะสามารถขับเคลื่อนบริษัทแห่งนี้ในฐานะผู้นำด้านโทรคมนาคม-เทคโนโลยีที่เปี่ยมด้วยศักยภาพในการลงทุนเพื่ออนาคต แต่การจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องให้ความสำคัญกับยกระดับการดำเนินงานขององค์กร การมุ่งใช้ประโยชน์สูงสุดจากการประสานพลัง (synergy) และการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร” นางสาวยุภากล่าว
ขณะที่ด้านหัวหน้าคณะผู้บริหารการเงินทั้งสองต่างตระหนักดีถึงความท้าทายในการหลอมรวมสององค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งมีวัฒนธรรมและวิถีการทำงานที่แตกต่างกันทั้งคู่จึงให้ความสำคัญกับการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียวและตั้งอยู่บนจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อส่งมอบคุณค่าให้แก่บรรดาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคมโดยรวม “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างที่มีความหมายให้กับบริษัทและสังคม นี่คือสิ่งที่ขับเคลื่อนเราสองคนในทุกๆ วัน