คัด 5 หุ้นหลบภัย Q3 รับมือตลาดผันผวน BBL-HMPRO อัพไซด์เกิน 20%
คัด 5 หุ้นหลบภัยไตรมาส 3/66 BBL, BDMS, BEM, HMPRO, OSP รับมือตลาดผันผวน-เศรษฐกิจชะลอตัว ลุ้นกำไรฟื้นตัวแข็งแกร่ง BBL-HMPRO อัพไซด์เกิน 20%
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งจะทำให้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ Momentum เศรษฐกิจจีนและไทยชะลอลงกว่าคาด ด้วยความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มากขึ้น ทำให้เรามองว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอพร้อมเพรียง (Synchronized Slowdown) ในครึ่งปีหลัง
สำหรับเศรษฐกิจจีนอ่อนแรง ความคาดหวังว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “revenge spending” หรือพฤติกรรมการช้อปล้างแค้นหลังจากอัดอั้นความต้องการไว้ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ COVID นั้นไม่ได้เกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ และประเมินอัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนไว้สูงเกินไป มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับจีนลดน้อยลงในครึ่งหลังปี 66 แม้ว่า valuation ต่ำ นอกจากนี้ภาคส่งออกก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงในครึ่งหลังปี 66 ซึ่งจะส่งผลลบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก เช่น อาหาร โลจิสติกส์ ปิโตรเคมี และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับการระบายสินค้าคงคลังส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การระบายสินค้าคงคลังจะส่งผลทำให้การเติบโตของ GDP และกำไรต่ำกว่าคาด เนื่องจากจะต้องใช้เวลา 1-2 ไตรมาสในการลดสินค้าคงคลังลงสู่ระดับปกติ เราไม่คิดว่าจะเห็นเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจนกว่าการระบายสินค้าคงคลังจะเสร็จสิ้น โดยเฉพาะสินค้าคงคลังในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ และเครื่องจักร
ส่วนเศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงทั้งจากภายในและภายนอก ความเสี่ยงภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการระบายสินค้าคงคลังของจีน จะสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของ GDP ในขณะที่ความเสี่ยงภายใน เช่น ความเสี่ยงด้านกฎหมายจากนโยบายต่อต้านการผูกขาดจะเป็นปัจจัยกดดันกลุ่มธุรกิจที่ครองตลาด ซึ่งจะส่งผลทำให้ sentiment ปรับตัวแย่ลง การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตในครึ่งหลังปี 66
นโยบายของรัฐบาลใหม่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน หากรัฐบาลใหม่ทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท และขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% เป็น 23% การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบทำให้กำไรปรับลดลง 4% ขณะที่การขึ้นภาษีจะส่งผลระทบทำให้กำไรปรับลดลง 3% ในทางกลับกัน หากค่าไฟฟ้าปรับลดลง 0.7 บาทต่อหน่วย (-15%) กำไรจะปรับเพิ่มขึ้น 3% ผลลัพธ์สุดท้าย คือ กำไรสุทธิของบริษัทภายใต้การวิเคราะห์ของบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จะปรับลดลง 3% จากกรณีฐาน และจะส่งผลทำให้มีการ de-rating valuation ของบริษัทขนาดใหญ่
ทั้งนี้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและเป้าหมาย SET Index ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงจาก 3.0% สู่ 2.7% ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนสมมติฐานด้านการส่งออก การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ การปรับลดคาดการณ์กำไรลง 4% ส่งผลทำให้เป้า SET Index ปี 66 ของบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปรับลดลง 5-6% จาก 1,750 จุด สู่ 1,650 จุด
ดังนั้น คงกลยุทธ์การลงทุนแบบ defensive & selective จุดโฟกัสที่สำคัญในครึ่งหลังปี 66 คือ การระบายสินค้าคงคลังเสร็จสิ้น การมาของเอลนีโญ และการฟื้นตัวของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ด้วย tail risks (ความเสี่ยงในเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่มีผลกระทบรุนแรง) ที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงแนะนำให้ลงทุนแบบ Defensive และ selective ในกลุ่มวัฏจักร และโฟกัสไปที่แนวโน้มธุรกิจและการฟื้นตัวของกำไร
โดยเลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว ตลาดมีความผันผวนสูงสืบเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค เล็งเห็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจนและได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากนโยบายของรัฐบาลใหม่
ทั้งนี้หุ้นเด่นในไตรมาส 3/66 ของ คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มองว่ากำไรเติบโตแข็งแกร่ง, และ NIM จะขยายตัวมากที่สุด, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS กำไรมีความชัดเจนสูง รับเปิดประเทศและไฮซีซั่น, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM กำไรฟื้นตัว, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO กำไรฟื้นตัวปานกลาง รับการบริโภคในประเทศ และ risk-reward สมดุล และบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง และอุปสงค์ฟื้นตัว