พาราสาวะถี

ยังลีลาแต่ไม่น่าจะเกินสัปดาห์นี้ เต็มที่ก็คือสัปดาห์หน้าก่อนวันที่ 28 มิถุนายน กกต.ทั้ง 6 คน คงจะลงมติรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.


ยังลีลาแต่ไม่น่าจะเกินสัปดาห์นี้ เต็มที่ก็คือสัปดาห์หน้าก่อนวันที่ 28 มิถุนายน กกต.ทั้ง 6 คน คงจะลงมติรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งระบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ส่วนจะเป็นจำนวนที่ร้อยละ 95 ของ ส.ส.ทั้งหมดหรือร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องดูพยาน หลักฐานกับเรื่องร้องเรียนที่ถูกส่งมาให้พิจารณา ถ้าตรวจทานในส่วนของ กกต.จังหวัดแทบจะทุกแห่ง เสนอความเห็นไปทิศทางเดียวกันคือ ไม่สามารถสืบสวนสอบสวนทันกรอบเวลา 60 วันหลังเลือกตั้ง

นั่นก็หมายความว่าจะเดินเข้าสู่รับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลัง ปมที่สังคมจับตามองน้ำหนักเพ่งเล็งไปที่กรณีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นกับข้อหาถือหุ้นไอทีวี ที่ กกต.ก็มีแนวทางชัดเลือกเอาผิดตามมาตรา 151 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ไปว่ากันตามกระบวนการของศาลยุติธรรมปกติ ส่วนที่จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้นยังต้องลุ้น และน่าจะเป็นไปได้น้อย

แม้แต่การจะขยับเอาผิดตามมาตรา 151 หลังจากเห็นความไม่ชอบมาพากลของขบวนการฟื้นคืนชีพไอทีวีแล้ว มันไม่ได้ช่วยทำให้การทำงานของ กกต.ง่ายขึ้น มิหนำซ้ำ ยังจะเป็นการช่วยทำให้กระบวนการตีความเรื่องความเป็นสื่อของไอทีวีจบสิ้นเสียด้วยซ้ำ จากการทำหนังสือชี้แจงต่อข่าวที่ถูกเปิดโปงของบริษัทไอทีวี กรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นในส่วนที่เป็นคลิปถามตอบและรายงานบันทึกการประชุม ที่สรุปได้ว่า ไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อมานับตั้งแต่ปี 2550 แล้ว

ประกอบกับบรรทัดฐานของคดีปกครองและคดีรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ก็ได้มีการชี้ชัดถึงคุณลักษณะของบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อซึ่งสามารถชี้นำสังคมไว้ชัดเจนว่า “การที่จะพิจารณาว่า บุคคลใดเป็นหรือเคยเป็นกรรมการ หรือผู้ถือหุ้น ในบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียงหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาตรวจสอบตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏว่า บริษัทได้ประกอบกิจการจริงหรือไม่ มิใช่พิจารณาเพียงวัตถุประสงค์ของบริษัท เท่านั้น”

ไม่เพียงเท่านั้น พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา นิด้า ยังได้แสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าว โดยการยกเอาคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 963/2565 ระบุชัดว่า “การพิจารณาวัตถุประสงค์ของบริษัทตามที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิแต่เพียงอย่างเดียว แล้วมีมติว่า บริษัทดังกล่าวได้ประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทดังกล่าวได้ประกอบกิจการโทรคมนาคม กรณีจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

เช่นเดียวกันพิชายยังได้พูดถึงกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีของ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กรณีถือหุ้นเอไอเอสที่ได้นำเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาร่วมวินิจฉัยด้วย นั่นคือหากถือหุ้นในสัดส่วนน้อยจะไม่สามารถครอบงำสื่อได้ จึงคืนสิทธิการสมัคร ส.ส.แก่ชาญชัย หลังจากที่ถูก กกต.ตัดสิทธิความเป็นผู้สมัครไปแล้ว เมื่อเทียบเคียงกันกับสัดส่วนหุ้นที่พิธาถือก็คือว่าน้อยมากเหมือนกรณีของชาญชัย

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนโอกาสรอดของพิธามาถึงตรงนี้ถือว่ามีสูง ยิ่งพยายามที่จะรื้อฟื้นความเป็นสื่อแก่ไอทีวีที่ถูกเปิดโปงจนทำเอาเสียหน้าหรือประสาจิ๊กโก๋บอกว่า “เสียหมา” กันทั้งขบวนการนั้น มันก็ยิ่งทำให้หลักฐานที่พยายามจะสร้างกันขึ้นมาสูญเสียความน่าเชื่อถือไปอย่างสิ้นเชิง ทีนี้คงอยู่ที่ กกต.ซึ่งเป็นผู้พิจารณาคดีนี้อยู่เพียงองคาพยพเดียวในเวลานี้ จะเดินหน้าต่อกันอย่างไร กรณีเอาผิดมาตรา 151 ก็ถูกดักคอด้วยมาตรา 143 ของกฎหมายเดียวกัน ไม่รู้ว่าจะทำให้ต้องใส่เกียร์ถอยกันหรือเปล่า

โจทย์สำคัญที่ทำให้การใช้อภินิหารหรือไสยศาสตร์ทางกฎหมายของขบวนการสืบทอดอำนาจไม่ราบรื่น กล้าหาญชาญชัยเหมือนคราวตีความเรื่องคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จนได้ ส.ส.ปัดเศษ ส.ส.เอื้ออาทรเหมือนที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่เสียงหนุนก้าวไกลที่มีกว่า 14 ล้านเสียง รวมของพรรคร่วมตั้งรัฐบาลมีมากกว่า 27 ล้านเสียงเท่านั้น การหลุดของข้อมูลไม่ว่าจะเอกสาร หรือแม้แต่เรื่องการพูดคุยกันในที่ประชุมไม่ว่าจะจากวงไหนก็ตาม สะท้อนให้เห็นภาวะสนิมเกิดแต่เนื้อในตน

ย้ำมาตลอดกว่า 9 ปีที่อำนาจเผด็จการครองประเทศ เกิดการข้ามหัวข้ามห้วยกันอุตลุด ด้วยเหตุผลความไม่วางใจข้าราชการที่ไม่ใช่พวกของตัวเอง และการสนับสนุนให้พวกเดียวกันได้เป็นใหญ่เป็นโตโดยไม่สนใจว่าจะไปสกัดความก้าวหน้าของข้าราชการในส่วนของกรม กอง หน่วยงานที่เคยอยู่มาก่อนหน้านั้นหรือไม่ เมื่ออำนาจที่เคยย่ามใจมันเริ่มเสื่อมความขลัง ทุกอย่างมันจึงโหมกระหน่ำระส่ำระสายกันหนักแทบจะทุกส่วน แม้แต่องค์กรอิสระก็ยังไม่เว้น

อาจดูเหมือนเป็นกงเกวียนกำเกวียน แต่ความจริงต้องยอมรับว่ามันเป็นกรรมที่เกิดจากการกระทำอันเนื่องมาจากความย่ามใจต่ออำนาจเบ็ดเสร็จที่มีในนามเผด็จการ คสช. ต่อเนื่องถึงอำนาจสืบทอดที่เชื่อมั่นกันว่า กลไกจากกระบวนการของขบวนการที่ได้วางแผนและดำเนินการกันมานั้น จะสามารถคุ้มกะลาหัวกันไปได้จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง แต่มาถึงนาทีนี้ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า แค่ผ่านการเลือกตั้งวาระเดียวหลังสืบทอดอำนาจ คนส่วนใหญ่ก็เอือมระอาเบื่อหน่ายกันเต็มที

กว่า 9 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าคืนความสุขให้กับประชาชนไม่ได้ คุณภาพชีวิตตกต่ำ ปัญหาความเหลื่อมล้ำมีสูง ที่สำคัญรัฐธรรมนูญที่คุยนักคุยหนาว่าฉบับปราบโกง แต่กลับมีการทุจริตกันมโหฬารชนิดที่องค์กรปราบโกงอย่าง ป.ป.ช.ยังต้องส่ายหน้า มันทำให้เห็นแล้วว่าขืนปล่อยให้อยู่ยาวกันต่อไป คนไทยทั้งประเทศจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากกันได้ กระแสความเปลี่ยนแปลงชัดเจน ผลการเลือกตั้งชี้ให้เห็นคนส่วนใหญ่ต้องการอะไร ไม่แน่ที่ผ่านเลือกตั้งมาเดือนเศษแล้ว กกต.ยังไม่รับรอง มองในแง่ดีอาจเป็นการดึงเวลาให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อทำใจให้ได้เสียก่อนก็เป็นได้ (ฮา)

Back to top button