พาราสาวะถี

การสัมมนา ส.ส.เพื่อไทย 141 คน ถือเป็นการนัดรวมพลเตรียมความพร้อม ก่อนที่จะยกคณะชุดใหญ่ไปรายงานตัวต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร


การสัมมนา ส.ส.เพื่อไทย 141 คนที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ถือเป็นการนัดรวมพลเตรียมความพร้อม ก่อนที่จะยกคณะชุดใหญ่ไปรายงานตัวต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในวันต่อมา อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของการนัดพูดคุยกันครั้งนี้เพื่อรับฟังและเคลียร์กันให้จบ กับปมการเซ็นเอ็มโอยูร่วมตั้งรัฐบาลกับอีก 7 พรรคการเมือง โดยเฉพาะกับปัญหาเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ระดับผู้บริหารพรรคให้ข่าวยึดหลักการตำแหน่งควรเป็นของพรรคอันดับ 1 แต่นั่นไม่ใช่บทสรุป

เพราะไม่ว่าจะเป็น นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค ต่างชี้นิ้วไปที่คณะกรรมการประสานงานของทั้งสองพรรค ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา โดยเพื่อไทยยื่นเงื่อนไขขอเก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารไปแล้ว ขณะที่ก้าวไกลบรรดาสมาชิกและแกนนำที่มีบทบาททางการเมืองต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เก้าอี้นี้จะยกให้พรรคอื่นไม่ได้ ดังนั้น บทสรุปจึงอยู่ที่ฝ่ายเจรจา ถ้าตกลงกันไม่ได้จะกลายเป็นความขัดแย้ง ส่งผลต่อการตั้งรัฐบาลหรือไม่ 

เมื่อมองไปยังฉันทามติของมวลชนฝั่งประชาธิปไตย ก้าวไกล 14.4 ล้านเสียง เพื่อไทยเกือบ 11 ล้านเสียง ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลรองรับกับการขอตำแหน่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะในฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติ แต่ซีกเพื่อไทยเห็นว่าเมื่อพรรคอันดับหนึ่ง ขอแรงหนุนเพื่อส่ง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก้าวไปนั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้ว ก็ควรที่จะเกรงใจแฟนคลับของพรรคนายใหญ่ด้วยการยอมยกเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติให้อย่างเต็มใจ การยื้อยุดจึงไม่ก่อผลดีกับทุกฝ่าย

สูตรที่ว่าเพื่อไทยยอม แต่ขอแลกสองเก้าอี้รองประธานสภาฯ ดูแล้วไม่น่าจะง่ายเพราะพรรคอันดับ 3 อย่างประชาชาติ ฟัง วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคยกหลักการมาตอบคำถามนักข่าวแล้ว ก็หวังว่าคนของตัวเองควรจะได้รับโควตารองประธานสภาฯ คนที่ 2 เช่นกัน ดังนั้น เพื่อไม่ให้การจับมือตั้งรัฐบาลเกิดการสะดุด จึงต้องรีบเคลียร์ปมตรงนี้ให้จบก่อน มิเช่นนั้น จะกระทบชิ่งต่อไปถึงการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี แม้ว่าจะมีการวางตุ๊กตากันไว้เบื้องต้นบ้างแล้วก็ตาม

ช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะชิงไหวชิงพริบกันทางการเมือง ไม่เฉพาะก้าวไกลและเพื่อไทยที่จะต้องประคับประคอง เก็บอาการรักษารูปมวยเพื่อให้การตั้งรัฐบาลบรรลุผลสำเร็จเท่านั้น แทรกกลางระหว่างสองพรรคก็จะเกิดข่าวเสี้ยมเพื่อให้เกิดความบาดหมาง จนกระทบต่อการจับมือกันเดิน ดังเช่นกรณีข่าวพรรคสืบทอดอำนาจจะเสนอชื่อ สุชาติ ตันเจริญ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เท่ากับเป็นการสร้างความระแวงให้กับพรรคอันดับหนึ่งว่า เพื่อไทยคิดไม่ซื่อเล่นไม่แฟร์หรือเปล่า

แต่งานนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องทำให้หวั่นไหว เพราะระหว่างการเลือกตั้งโดยเฉพาะก่อนหย่อนบัตร เพื่อไทยก็ถูกเล่นงานจากการใช้ไอโอทั้งฝ่ายตรงข้ามและพวกเดียวกันนี่แหละ ว่าด้วยการเตรียมตั้งรัฐบาลกับพรรคสืบทอดอำนาจ จนสะเทือนต่อแผนแลนด์สไลด์มาแล้ว มีการเก็บบทเรียนจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก้าวเดินกันอย่างระมัดระวัง ขณะที่ก้าวไกลเองด้วยภาพลักษณ์ของพรรคที่ไม่เอากับเผด็จการสืบทอดอำนาจ การเดินเกมต่อรองเพื่อหวังเสียงโหวตเลือกนายกฯ จึงต้องอาศัยมือของเพื่อไทยในการเจรจา

จะเห็นได้ว่าระยะหลังเมื่อมีการพูดถึงดีลกับพรรคสืบทอดอำนาจ หรือ ภูมิใจไทย คำปฏิเสธจากคนของพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล ไม่ได้หนักแน่นเด็ดขาดเหมือนก่อนหน้า เพราะจำเป็นต้องเปิดทางถอยกรณีที่ประชุมรัฐสภาแล้วเสียงหนุนจาก ส.ว.ก้าวไปไม่ถึง 376 เสียง จำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องอาศัยมือจากเพื่อน ส.ส.ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเซ็นเอ็มโอยู น้ำหนักตอนนี้ยังอยู่ที่พรรคของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เป็นสำคัญ เพราะหากดึงเข้ามาเป็นแนวร่วม เสียงของรัฐบาลจะไม่กระโดดไปมากจนถูกยัดเยียดว่าเป็นเผด็จการรัฐสภาในภายหลัง

เพียงแต่ยังติดเงื่อนไขภาพลักษณ์ของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งต้องรอให้เข้าการโหวตเลือกนายกฯ แล้วให้กองเชียร์และด้อมส้มได้เห็นปัญหาเสียก่อน จึงจะเข้าใจความจำเป็น หากต้องการให้พิธาได้เป็นนายกฯ ก็ต้องยอมที่จะลดการ์ดลง เพราะการเจรจาของมือประสานที่คุยกันไปนั้นไม่ใช่แค่จะการันตีเสียงจาก 36 ส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจเท่านั้น แต่รวมไปถึงยืนยันเรื่องเสียงโหวตจาก ส.ว.ลากตั้งว่ามีมากพอโดยไม่ต้องกังวลเรื่อง 376 เสียงอีกต่อไป

อย่างที่บอกไปแล้วว่า การเดินต่อบนถนนสายการเมืองของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เมื่อไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ย่อมตัวเบาและพร้อมที่จะพลิกแพลงตามสถานการณ์ได้ ผิดกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเมื่อเลือกที่จะเป็นตัวแทนของพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ความพ่ายแพ้อย่างหมดรูป จึงส่งผลให้ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปอย่างเจ็บกระดองใจ ที่ว่ายังจะอยู่ทำการเมืองกับรวมไทยสร้างชาติต่อไปนั้น แค่การปลอบใจตัวเองและพรรคพวกของลิ่วล้อสอพลอเท่านั้น

การเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ได้เป็นการต่อสู้กันระหว่างพวกเอาไม่เอาประยุทธ์ หรือฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการสืบทอดอำนาจอีกแล้ว แต่มองกันไปถึงจุดที่ว่า ฝ่ายประชาธิปไตยที่จับมือกันตั้งรัฐบาลเวลานี้ ถ้าสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ตามเป้าหมาย ไม่เกิดการเหยียบตาปลาเตะตัดขากันเองเสียก่อน คะแนนนิยมจะไม่เหลือให้กับพรรคของขั้วการเมืองเดิมอีกแล้ว อยู่ที่ว่าก้าวไกลกับเพื่อไทยใครจะโชว์ศักยภาพในการบริหาร ซื้อใจจากประชาชนได้ดีกว่ากันเท่านั้นเอง

ความเสื่อมของขบวนการสืบทอดอำนาจจากข่าวฉาวโฉ่ของวงการสีกากี เข้าทำนองน้ำลดตอผุด ขุดกันอุตลุด เรื่องธุรกิจผิดกฎหมายและการพนันออนไลน์นั้น รู้กันอยู่แล้วว่ามีมานาน ที่น่าอับอายกรณีรีดเงินตบทรัพย์ 140 ล้านบาท ตัวละครตำรวจที่ถูกเอาผิดเป็นเพียงเบี้ยให้คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดานามว่า บอย พัทยา ชี้นิ้วบงการ เรียกว่าใหญ่กว่านายตำรวจระดับผู้กำกับหรือผู้บังคับการเสียอีก นี่ย่อมเป็นภาพสะท้อนถึงความล้มเหลวในการปราบทุจริตของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าอะไรที่ซุกไว้ใต้พรมจะโผล่มาประจานอีกหรือไม่ แต่เชื่อได้ว่าน่าจะมีและอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้นเสียด้วย

Back to top button