พาราสาวะถี

วันนี้คณะเจรจาของพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทย น่าจะได้ข้อสรุปเรื่องเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งสองเก้าอี้รองประธานสภาฯ ด้วย


วันนี้คณะเจรจาของพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทย น่าจะได้ข้อสรุปเรื่องเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งสองเก้าอี้รองประธานสภาฯ ด้วย แนวโน้มยังเป็นไปตามที่ระดับนำของพรรคอันดับสองแสดงความเห็นไป พรรคอันดับหนึ่งควรได้ตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติไปครอง แม้จะติดใจกันกับเสียง ส.ส.ที่ห่างกันแค่ 10 ที่นั่ง แต่นั่นไม่สำคัญเท่าการยึดเอาหลักการเป็นตัวตั้ง เผื่อในอนาคตอันใกล้พรรคของตัวเองอาจจะกลับมาเป็นแกนนำในการตั้งรัฐบาลบ้าง

บนเงื่อนไขของเพื่อไทยที่ขอตำแหน่งรองประธานสภาฯ ทั้ง 2 เก้าอี้ ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรทางการเมือง แต่ทุกอย่างมันคือเกม ย้ำอีกครั้ง ฉันทามติของประชาชนเป็นเครื่องพันธนาการให้ทั้งสองพรรคแกนนำต้องจับมือกันให้ถึงที่สุด และเป็นภาคบังคับด้วยว่าห้ามมีปัญหากันเด็ดขาด เพราะฝ่ายประชาธิปไตยหากอยากจะปิดสวิตช์เผด็จการสืบทอดอำนาจ จะต้องรวมกันเป็นปึกแผ่น ดังนั้น ประเด็นที่ไม่ใช่หัวใจหลักของการก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยงกันไป

ปัจจัยการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้จะดูว่าปมถูกกล่าวหาเรื่องหุ้นไอทีวีไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหา ทว่าขวากหนามสำคัญอยู่ที่มือของ ส.ว.ลากตั้งจะร่วมโหวตให้ถึง 64 เสียงหรือไม่ ถึงตรงนี้ต้องยอมรับกันว่าเหนื่อย ไม่ใช่เพราะ ส.ว.พวกทาสในเรือนเบี้ยของเผด็จการ คสช.จะปูดสารพัดข้ออ้างเพื่อที่จะโน้มน้าวให้พวกที่เตรียมจะโหวตตามเสียงเรียกร้องของประชาชนกลับหลังหัน หากแต่มันเป็นเรื่องขบวนการที่ยังคงมุ่งมั่นในการสกัดกั้นพิธาทุกทาง

เห็นการขยับตัวของพวกที่เคยเป่านกหวีดโบกมือดักกวักมือเรียกประยุทธ์ทำการรัฐประหารจนเกิดเผด็จการ คสช. ก็พอจะมองเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่การสมคบคิดเพื่อที่จะสร้างแรงกดดันไปยัง ส.ว.ลากตั้ง ทวงถามบุญคุณที่เคยคุ้มกะลาหัวกันมา หากแต่ยังมองไปได้ถึงความพยายามในการที่จะเคลื่อนไหวโดยอาศัยประเด็นแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลมาระดมมวลชนชุมนุมหน้ารัฐสภาในวันที่มีการโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งก็ชวนให้คิดอีกมุม พวกลากตั้งยังจะยอมถูกกดหัวอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ

ได้ยิน พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาอ้างว่า ส.ว.ลากตั้งจะไม่โหวตไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกับบอกว่าแต่ละคนจะมีเหตุผลส่วนตัว ซึ่งเชื่อว่าจะเลือกคนดี คนเก่งไปพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ เกือบจะเชื่ออยู่แล้วเชียวว่าทุกคนจะเป็นอิสระ พอได้ฟังคำว่าให้ไปพัฒนาประชาธิปไตย มันกระตุกชวนให้ต้องคิดต่อ แล้วคนที่พูดนั้นส่งเสริม สนับสนุน กระบวนการตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ในห้วงเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมา

ขบวนการลับ ลวง พราง ปฏิบัติการไอโอยังคงดำเนินการต่อเนื่อง ปฏิกิริยาที่แสดงออกตั้งแต่หัวขบวนไปจนถึงลิ่วล้อบางราย ทำทีเหมือนว่าจะยอมแพ้แต่เบื้องหลังยังคงเดินเกมทุกรูปแบบ มิเช่นนั้น คงไม่มีการปูดปมซื้อตัวงูเห่า เพียงแต่ว่าภายใต้บริบทการเมืองที่มองผ่านผลการเลือกตั้ง มันทำให้นักการเมืองอาชีพไม่ยอมสมคบคิดด้วยกับการตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก จึงเป็นที่มาของบทสัมภาษณ์จากปาก อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ว่า มีแต่ควายเท่านั้นที่ซื้องูเห่า

ความจริงสถานการณ์ทางการเมืองดำเนินมาถึงจุดนี้ หากท้ายที่สุดที่ประชุมรัฐสภาไม่สามารถโหวตให้พิธาเป็นนายกฯ ได้ แม้ว่าจะใช้ความพยายามอย่างไร ปลายทางก็ต้องมีแผนสำรองเหมือนที่ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยว่าไว้ ที่ประชุมร่วม 8 พรรคต้องมีการวางแผนสำรองกรณีที่เสียงหนุนนายกฯ ไม่ถึง 376 เสียง อาจจะพลิกเกมด้วยการดันแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน มาเป็นทางเลือกแทนพิธา

เพื่อดูปฏิกิริยาจากพวกลากตั้ง หากยังแสดงออกแบบเดียวกันกับพิธา ก็หมายความว่าการต่อต้านจากพวกทาสในเรือนเบี้ยของเผด็จการ คสช.ไม่ได้ตั้งแง่กับตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของการไม่เอาฝ่ายประชาธิปไตยแล้ว ถึงจุดนั้นจำเป็นที่จะต้องงัดแผนการดึงพรรคสืบทอดอำนาจมาเข้าร่วม เพื่ออาศัยกำลังภายในของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ในการที่จะขอแรงจากพวกลากตั้ง ซึ่งน่าจะเป็นงานง่ายกว่าการมีแค่ 8 พรรคตั้งรัฐบาลเดิม ถ้าสูตรนี้ก้าวไกลคงต้องเลือกจะยังดันพิธาต่อหรือปล่อยมือให้เพื่อไทยออกหน้าแทน

อย่างที่รู้กันการเดินทางไปประเทศอังกฤษของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ที่อ้างว่าไปดูแข่งม้านั้น ความจริงคนการเมืองทั้งหลายต่างเชื่อว่าน่าจะเป็นการไปคุยกับแม้วมากกว่า เพราะรู้กันดีว่า 312 เสียงที่ประชาชนสนับสนุนมานั้น เมื่อมีขวากหนามที่ขบวนการสืบทอดอำนาจวางดักเอาไว้ ก็ต้องหาทางพลิกแพลง การใช้มือจากมิตรของศัตรูเพื่อฆ่าศัตรูถือเป็นสุดยอดวิชาการรบ แต่จะปิดเกมได้อย่างที่ตั้งใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพันธมิตรที่จับมือกันอยู่ว่าพร้อมที่จะโอนอ่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญหรือไม่

ภาพสวยงามทางการเมืองที่ว่าอยากเห็นนักเลือกตั้งที่ไม่ได้อยู่ในสังกัด 8 พรรคร่วม ช่วยกันยกมือโหวตเลือกนายกฯ ที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนนั้น ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม คงประมาทนักการเมืองไม่ได้ เงื่อนไขของการขอความร่วมมือไม่ได้มีแค่ว่าจะต้องได้ร่วมรัฐบาลเท่านั้น ถ้าตกปากรับคำกันได้ในเรื่องของงานและผลประโยชน์จากการดำเนินงานของรัฐบาลในอนาคตมันก็พอจะเป็นไปได้ กรณีเช่นนี้บางพรรคการเมืองถนัด เพราะกุนซือที่คอยให้คำปรึกษานั้นขึ้นชื่ออยู่แล้วกับแนวทางที่ว่าไม่จำเป็นต้องออกหน้าหรือมีตำแหน่งแห่งหน แต่สามารถหากินได้เต็มปากเต็มคำเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว

กระบวนท่าในการเจรจาสำหรับการตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคร่วม เพื่อไทยถือเป็นพรรคที่ถูกจับตามอง เพราะด้านหนึ่งต้องคุยกับพรรคแกนนำให้ลงตัว ขัดแย้งกันไม่ได้ อีกด้านก็ต้องเดินหน้าหาเสียงหนุนจากส่วนอื่นจนถูกมองว่าจะมีการตั้งรัฐบาลแข่ง หักหลังก้าวไกลหรือไม่ ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นการประสานสิบทิศเพื่อให้รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยเกิดขึ้นให้ได้เสียก่อน โดยเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่โหมดการทำงานด้วยสไตล์ของพรรคแกนนำ จะทำให้เจออุปสรรคหลากหลาย ส่วนพรรคอันดับสองก็จะมุ่งมั่นสร้างผลงาน เพื่อหวังผลไปที่การเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งสรุปบทเรียนแล้วว่ายังไงพรรคก็จะได้กลับมาเป็นที่ 1

Back to top button