พาราสาวะถี

ย่างก้าวทางการเมืองที่บ่มเพาะผ่านการศึกในสภาเกือบ 4 ปีในสมัยแรก ทำให้ พิธา กล้าที่จะพูดถึงคุณสมบัติที่ดีของตัวเองซึ่งนักการเมืองควรมีนั่นก็คือ “รุกได้ถอยเป็น”


ย่างก้าวทางการเมืองที่บ่มเพาะผ่านการศึกในสภาเกือบ 4 ปีในสมัยแรก ทำให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล้าที่จะพูดถึงคุณสมบัติที่ดีของตัวเองซึ่งนักการเมืองควรมีนั่นก็คือ “รุกได้ถอยเป็น” เห็นได้จากกรณีปัญหาเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย สุดท้ายการหันไปใช้บริการ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ก็ทำให้ถอนฟืนออกจากกองไฟได้ เหตุผลสำคัญคงอยู่ที่วันนอร์เป็นนักการเมืองที่ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 บอกว่าสามารถยกมือไหว้ได้อย่างสนิทใจ

เส้นทางทางการเมืองของวันนอร์คือบทพิสูจน์ การยอมรับไม่ได้มีแค่เฉพาะนักเลือกตั้งที่เป็นพวกเดียวกันเท่านั้น แม้แต่ต่างพรรคก็ให้ความเคารพนับถือ โดยเฉพาะกับบทบาทการทำหน้าที่ประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ในอดีตที่เคยนั่งบนบัลลังก์ของสภาหินอ่อนมาแล้ว ได้รับการพิสูจน์ถึงการวางตัวเป็นกลางได้เป็นอย่างดี จากที่เป็นปัญหาได้คนมาผ่าทางตัน มันจึงทำให้สัมพันธภาพ การจับมือกันของ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลไม่สั่นคลอนอย่างที่ฝ่ายเสี้ยมอยากจะให้เป็น

ท่วงทำนองรุกได้ถอยเป็นของพิธานี่กระมัง จึงทำให้ฝ่าย ส.ว.ลากตั้งบางพวกที่ตั้งท่าจะไม่โหวตให้คนจากฝ่ายประชาธิปไตยอยู่แล้ว ออกมาเรียกร้องให้หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ประกาศถอยข้อเสนอแก้ไขมาตรา 112 โดยอ้างปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ และยกเอาเสียงของ ส.ว.มาขู่ ถ้าขืนดันทุรังจะไม่ได้รับเสียงโหวตหนุนให้เป็นนายกฯ ทั้งที่ความเป็นจริงคนที่พูดนั้นชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ยังไงก็ไม่ยกมือให้พิธาอยู่แล้ว

อย่างที่ได้จำแนกแยกแยะเสียงของ ส.ว.ลากตั้งไปวันก่อน จังหวะรุกเรียกร้องให้พิธาทำตัวเป็นไอ้เสือถอยกรณีแก้มาตรา 112 นั้น เป็นเพียงการหาเหตุเพื่อที่จะไปดักคอ ส.ว.ฝ่ายที่ยังลังเล และมีแนวโน้มที่จะโหวตให้พิธา โดยหวังว่าหากไม่มีเสียงตอบรับที่ขอให้ลดเพดานเรื่องอ่อนไหว ใครที่ไปโหวตหนุนก็จะกลายเป็นพวกไม่จงรักภักดีในทันที เกมนี้ก็มีแต่พวกที่ชอบแอบอ้างในเรื่องไม่สมควรเท่านั้นที่ตอกย้ำทำไอโอไม่หยุดหย่อน โดยไม่ลืมหูลืมตามองทุกอย่างให้รอบด้าน

การแสดงท่าทีทางการเมืองของพิธาในลักษณะไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่านั้น มันก็จะหมายรวมไปถึงกรณีการผลักดันกฎหมายที่มีความอ่อนไหวด้วย เมื่อเห็นว่าขืนดันทุรังแล้วกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลย่อมไม่มีใครบ้าที่จะทำ เพียงแต่ว่าภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่เพิ่งผ่านพ้นการเลือกตั้งมาไม่นาน ทั้งพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ได้เข้าสภาฯ และกองเชียร์ยังคงชื่นมื่นอยู่กับบรรยากาศของการคว้าชัย จะไปกระตุกความลิงโลดด้วยการประกาศว่าจะไม่เดินหน้านโยบายสำคัญบางเรื่องที่ได้หาเสียงไว้ก่อนหน้าไม่ได้

เป็นไปตามบทสัมภาษณ์ของพิธาล่าสุดกับการแก้ปัญหาเก้าอี้ประธานสภาฯ ที่ว่า การตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขรัฐบาลผสม สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะเดินหน้าและถอยภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม การตัดสินใจของพรรคก้าวไกลในวันนี้ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อเหตุผลทางการเมืองเฉพาะหน้า แต่ตัดสินใจจากคุณค่าพื้นฐานร่วมกันของพรรคในการทำงานการเมืองระยะยาว เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้สำเร็จได้ โดยมีเส้นที่จะไม่สามารถล่วงล้ำได้เลยคือ “การทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”

ไม่ต่างจากเพื่อไทยที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคย้ำนักย้ำหนา ฉันทามติของประชาชนผูกมัดให้สองพรรคแกนนำตั้งรัฐบาลต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ไม่มีใครตีจากใครได้ไม่ว่าสถานการณ์เบื้องหน้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม บริบททางการเมืองที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ก้าวไกลประสบชัยชนะเหนือความคาดหมายด้วยการเสนอทางเลือกใหม่และขับเคลื่อนการเมืองด้วยคนรุ่นใหม่เท่านั้น เพื่อไทยก็ปรับตามความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน

การเข้ามาของ แพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่ตัวแทนหรือสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของพรรคที่พะยี่ห้อ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น หากแต่เป็นการก้าวเข้าสู่ถนนสายการเมือง ด้วยความตั้งใจที่จะมาทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคทันสมัย มีความใกล้ชิดกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งหากไม่เตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ปัญหาตำแหน่งประธานสภาฯ อาจจะไม่ได้บทสรุปเหมือนอย่างที่เป็นก็ได้ เพราะนักการเมืองรุ่นเก่าและเก๋าในพรรคคงใช้วิธีการแบบเดิมคือ ให้มีตำแหน่งทางการเมือง เรื่องอนาคตค่อยว่ากันอีกที

แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ภายในพรรค และทีมกุนซือไม่ได้คิดเช่นนั้น ความได้เปรียบทางการเมืองภายใต้สัญญาผูกมัด 8 พรรคร่วม เพื่อไทยได้เต็มประตู สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้นคือ การมองไปยังผลการเลือกตั้งครั้งหน้า ความพ่ายแพ้หนนี้มีบทเรียนที่ผ่านการสรุปมาแล้ว และคงเห็นเหมือนกันว่าพรรคก้าวไกลก็หวังไปถึงชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเช่นเดียวกัน นั่นจึงทำให้เราไม่ได้เห็นท่าทีค้านชนิดหัวชนฝาของพวกฮาร์ดคอร์จากพรรคนายใหญ่แต่อย่างใด

ฟากฝั่งของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมาถึงนาทีนี้ ดูเหมือนว่าจะทำใจยอมรับกับความปราชัยและการหมดโอกาสที่จะกลับมาอยู่ยาวได้แล้ว การอยู่ในฐานะนายกฯ และรัฐบาลรักษาการจึงทำได้แค่ประคองให้ทุกอย่างเดินไปด้วยความเรียบร้อยจนถึงวันส่งไม้ต่อให้กับรัฐบาลใหม่ ที่สร้างความหวั่นใจให้กับทีมวางแผนของท่านผู้นำก็คือ มองกันว่าพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.อาจจะไม่ได้ไปทำหน้าที่ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านกับขบวนการสืบทอดอำนาจที่อยู่ด้วยกันมา

จะเป็นจริงหรือไม่ ให้รอดูผลการประสานขอเสียงหนุนพิธาของ 8 พรรคร่วมหลังจากนี้ หากสัญญาณไม่ดี มีแนวโน้มว่าคะแนนโหวตจะไม่ถึง 376 เสียง โดยตามคำประกาศของว่าที่ประธานรัฐสภาก็บอกแล้วว่าจะให้โอกาสแค่ 2 หน ดังนั้น ดีลลับหรือการเจรจาอะไรที่ไปคุยกันไว้ก่อนหน้า ก็จะมีการนัดหมายเพื่อตกลงกันก่อนจะถึงวันโหวตเลือกนายกฯ ทั้งนี้ เพื่อให้กระบวนการประชุมเสร็จสิ้นภายในวันเดียว จะได้ไม่ต้องมีใครไปเดินแผนพลิกเกมเปลี่ยนขั้วให้วุ่นวาย ตอนนี้ติดอยู่เพียงแค่ว่าถ้าต้องดึงพรรคของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เข้าร่วม ตำแหน่งที่เหมาะสมของคนใช้ใจบันดาลแรงควรจะอยู่ตรงไหน

Back to top button