อาจลงมาแตะ 1,480 จุด

ดัชนี SET ปิดวานนี้ร่วงลง 6.44 จุด ปิดที่ 1,508.87 จุด หลังจากก่อนหน้านี้ 4 วันทำการ ดัชนีปิดในแดนบวกมาตลอด


ดัชนี SET ปิดวานนี้ร่วงลง 6.44 จุด ปิดที่ 1,508.87 จุด

หลังจากก่อนหน้านี้ 4 วันทำการ ดัชนีปิดในแดนบวกมาตลอด

หรือจากระดับ 1,466.93 จุด เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 ขึ้นมาอยู่ที่ 1,515.31 จุด เมื่อ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา เปลี่ยนแปลงในช่วง 4 วัน (ทำการ) 3.29%

ดัชนีที่ขึ้นมา รับปัจจัยหนุนจากความชัดเจนเรื่องการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรได้แล้ว

แต่ยังมีด่านสำคัญคือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.นี้

และตลาดหุ้นกำลังรอความชัดเจน

เลยทำให้บรรดานักวิเคราะห์ มองแนวต้านรอบล่าสุดไว้แค่ 1,520 จุด

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ดัชนี คือ พอขึ้นมาใกล้ 1,520 จุด หุ้นไทยวิ่งไปต่อไม่ได้ เพราะหมดปัจจัยบวก

นับจากนี้ไปอีกประมาณ 8 วัน  ดัชนีน่าจะไซด์เวย์ในกรอบจำกัด

และมีโอกาสที่จะหลุดระดับ 1,500 จุดได้อีกครั้ง

หากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงแปดวันที่ว่านี้ ยังไม่เห็นความชัดเจนเรื่องโหวตนายกฯ

แต่มีการวิเคราะห์กันว่า แม้ดัชนีจะไซด์เวย์

แต่ประเมินกันว่าจะไม่หลุดร่วงไปที่ระดับ 1,460-1,470 จุด เมื่อก่อนหน้านี้

แนวรับสำคัญทางเทคนิค คือ 1,480 จุด

ดัชนีที่แนวรับดังกล่าว ถือว่า ราคาค่อนข้างถูก และเป็นจังหวะต่อการเข้าซื้อสะสม ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์มีคำแนะนำในการเลือกหุ้นแตกต่างกันไป

ทว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นบิ๊กแคป อยู่ในกลุ่ม SET50

เช่นกลุ่มธนาคาร SCB KTB BBL และ KBANK รวมถึงแบงก์เล็ก เช่น TISCO

กลุ่มค้าปลีก CPALL เป็นอีกหุ้นที่หลายโบรกฯ แนะนำตรงกัน

เพราะจะพบว่า ราคาเวลาย่อลง ไม่ได้ปรับลงมาแรงมากนัก แล้วจะเด้งต่อทันที อย่างล่าสุด ราคาลงมาที่บริเวณ 60.75 บาท เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 66 ก่อนจะดีดกลับมาที่ 63.00-64.00 บาท

CPALL มีแนวต้านใหญ่อยู่ที่ 64.75 บาท

ล่าสุด สมาคมนักวิเคราะห์นักลงทุน เผยผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนกว่า 25 บริษัท

ต่างประเมินว่า ไตรมาส 3/66 จนถึงสิ้นปี 2566 ดัชนี SET มีแนวโน้มไซด์เวย์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาส 2/66

หรือแกว่งในกรอบ 1,601-1,650 จุด

และคาดว่าสิ้นปีจะปิดที่ 1,630 จุด ลดลง 77 จุด จากระดับที่คาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1,707 จุด

ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนี SET คือ เศรษฐกิจในประเทศ

มีการสมมติฐานจีดีพีปี 2566 คาดว่าเป็นบวกเฉลี่ย 3.38% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (เม.ย. 66) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานอยู่ที่ 3.50% ในขณะที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ 80.53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% 

ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล หรือการเมืองในประเทศ รวมทั้งทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดหุ้นในไตรมาส 3/66

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 โบรกฯ ขึ้นไป

เริ่มจาก ADVANC มองว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมลดลง ส่งผลดีต่อธุรกิจ

AOT โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

BBL มีความเชี่ยวชาญสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในตลาดนี้ สินเชื่อประเภทนี้แม้จะมีผลตอบแทนต่ำ แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนั้น BBL มีสินเชื่อส่วนใหญ่คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว และมีเงินฝากประจำสัดส่วนสูง ซึ่งได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นมากที่สุด ทั้งยังรองรับความเสี่ยงได้มาก จากสัดส่วนสำรองต่อ NPL ที่มีอยู่ถึง 243% สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่ 171% อยู่มาก

CPALL ปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคเพิ่ม นักท่องเที่ยวฟื้นตัว

และ SCB ได้ประโยชน์จาก กนง.เปิดช่องขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลดีต่อหุ้นแบงก์โดยรวม ทั้งราคายัง Laggard กลุ่ม

หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง คือ DELTA เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก

และกลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายรัฐบาลใหม่

Back to top button