7 วันระทึก!

“ไม่มีความเลวร้ายใด จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”


“ไม่มีความเลวร้ายใด จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”

ชาร์ล เดอ มองเตสกิเยอ (Charles de Montesquieu) ปรัชญาเมธีทางรัฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส มีชีวิตระหว่าง ค.ศ.1689-1755) เจ้าของทฤษฎีตรวจสอบและถ่วงดุล 3 อำนาจอธิปไตย กล่าวไว้ในผลงานโด่งดัง “จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย” (The Spirits of the Laws)

ครับ อำนาจเลวร้ายที่กระทำในนามของกฎหมาย หรือในนามของกระบวนการยุติธรรม ย่อมเป็นความเลวร้ายที่สุด เหนือความเลวร้ายใด เท่ากับประทับตรา “ความชอบธรรม” ให้แก่อำนาจอันเลวร้ายนั้น

สังคมไทยในช่วงเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ ก็ได้ประจักษ์ถึงความเลวร้ายดังกล่าวได้เป็นอันดี เกิดการบังคับใช้กฎหมายแบบ 2 มาตรฐานเยอะแยะไปหมด

รัฐธรรมนูญปี 2560 มุ่งหวังการสืบทอดอำนาจของคณะผู้ปกครองอำนาจนิยม เหนือกว่าเจตนารมณ์ความต้องการของประชาชนโดยแจ้งชัด

พรรคการเมืองขั้วเสรีประชาธิปไตย 312 เสียง ชนะเลือกตั้งขั้วฝ่ายอนุรักษ์นิยม 188 เสียงเด็ดขาดไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความแน่นอนจะจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญบังคับให้เอา 250 ส.ว.ที่ไม่ได้ยึดโยงอะไรกับประชาชนเลย

ถ้าวันที่ 14 ก.ค.อันเป็นวันที่รัฐสภานัดตัดสินเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี เกิดฝ่าย 188 เสียงฮึดขึ้นมา เข้าไปบวกรวมกับ 250 ส.ว. ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็จะพลิกจากพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ไปเป็นคนอื่นได้ทันที

แต่จะเป็น “ตลกร้าย” มากกว่า เพราะหากฝืนหักดิบเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เช่นนี้ ก็จะหมดอนาคตทันที ที่เสียง 250 ส.ว.หายไป รัฐบาลต้องเข้าไปเผชิญกับสภาผู้แทนราษฎรตามลำพัง การจะเสนอกฎหมายใดเข้าสภาฯ ย่อมมิอาจกระทำได้ และจะต้องพ่ายแพ้ยับเยิน

การจะฝันหวาน “ซื้องูเห่า” เหมือนเช่นรัฐบาลปี 62 ที่ผ่านมา ก็คงมิอาจกระทำได้เช่นกัน เพราะขั้วฝั่งประชาธิปไตยมีมากกว่าเยอะ ตั้ง 312:188 หรือ 62.40:37.60% เช่นนี้ ยังจะฝันอะไรลม ๆ แล้ง ๆ อีกหรือ

แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด คือตัวเลขการลงคะแนนเสียงกว่า 62% ของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายมีแค่ 37% กว่าเช่นนี้ มันคือตัวบ่งบอกอยู่แล้วว่า ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก

ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเปลี่ยนแปลงแค่ลมปาก

อย่าได้คิดถ่วงเวลาต่อสู้โดยจนตรอกไร้สาระอีกต่อไปเลยจะดีกว่า เพราะเวลาอีก 7 วันข้างหน้านั้นมีค่ายิ่งนัก การที่ปล่อยให้หุ้นตกไปวันละ 10 จุด-20 จุด มันไม่สนุกนักหรอก

อีก 7 วันข้างหน้า เสียงที่จะเป็นฝ่ายรัฐบาลก็ยังมีแค่ 312 เสียง ยังคงต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนเพิ่มอีก 64 เสียง จะมาจากไหน?

สำนึกจากส.ว.หรือส.ส.ด้วยกันจะมีไหมเนี่ย! ว่าการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า โดยพวกตัวเองก็ไม่มีความหวังจะพลิกขั้วเป็นรัฐบาล นั่นคือความเสียหายของประชาชน

ยิ่งมีส.ว.ระดับเตะพระสงฆ์องค์เจ้ามาแล้ว ออกมาขู่ว่า “พิธา ไม่เอา” หากเป็น “อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา พอรับได้” แต่ต้องสลัดก้าวไกลออกไป พรรคเพื่อไทยเขาก็คงจะรับไม่ได้

เอ๊ะ! นี่มันตีรวน ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ประชาชนชัด ๆ “ไม่ได้รักพิธา” แต่ประชาชนแสดงออกซะขนาดนี้ ก็เท่ากับ “เกมโอเวอร์” แล้ว หากไม่พอใจรัฐบาลก็ขับไล่ให้เปลี่ยนโดยชอบธรรมตามระบบได้นี่

จะมัวทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองให้ผลประโยชน์ประชาชนพังพินาศไปทำไม จากการตั้งรัฐบาลล่าช้า

Back to top button