พาราสาวะถี
ไม่ว่าบทสรุปหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นใคร แต่ผลจากการเลือกคณะกรรมการบริหารชุดใหม่รอบนี้เป็นภาพสะท้อนทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
ไม่ว่าบทสรุปหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นใคร แต่ผลจากการเลือกคณะกรรมการบริหารชุดใหม่รอบนี้เป็นภาพสะท้อนทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ใครจะไปคาดคิดฐานเสียงอันแข็งแกร่งของพรรคเก่าแก่อย่าง กทม.ไม่มี ส.ส.แม้แต่คนเดียว ไม่ต่างกันกับภาคใต้ที่ได้มาเพียงแค่หยิบมือ จากอดีตที่เคยมีวลีเด็ดส่งเสาไฟฟ้าลงยังชนะ บทเรียนอันล้ำค่าที่ทำให้พรรคเสื่อมถอยรูปรอยมันปรากฏมาตั้งแต่ไปรวมหัวตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จนกระทั่งสมคบคิดขบวนการสืบทอดอำนาจในการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
จากการเป็นอีแอบที่ไม่ได้แสดงตนว่าอิงอยู่กับพวกไหน ฝ่ายใด แต่หลังจากที่ได้รัฐบาลในค่ายทหาร กระทั่งเกิดม็อบชัตดาวน์ประเทศ มันทำให้รู้ว่าพรรคที่อ้างเป็นสถาบันการเมือง ยึดมั่นในระบบรัฐสภา เชื่อมั่นระบอบประชาธิปไตย แท้ที่จริงแล้วกลับทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เป็นฝ่ายบริหารประเทศ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งการเข้าร่วมรัฐบาลหนล่าสุด ที่ใช้มติพรรคทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลายเป็นคนตระบัดสัตย์ เพราะได้ลั่นวาจาไปแล้วจะไม่สนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและขบวนการ
ทุกอย่างล้วนมีที่มา การทำตัวเป็นแผ่นเสียงตกร่องย้ำถึงความงดงามในอดีต และวลีเดิมประชาธิปัตย์ชนะมาด้วยเสียงบริสุทธิ์ของคนที่ได้ชื่อว่าใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งนั้น วันนี้มันกลายเป็นสนิมไปแล้ว การเมืองไม่ได้เชิดชูคนโกงหรือพวกทุจริตให้มีอำนาจ หากเป็นเช่นนั้นจริง ถามว่ารัฐบาลสืบทอดอำนาจที่พรรคของตัวเองเข้าร่วม ซึ่งอ้างว่าเกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงนั้น ทำไมถึงเกิดการทุจริตคอร์รัปชัน จนองค์กรอย่าง ป.ป.ช.ถึงกับส่ายหน้าว่าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
สรุปแล้วการยึดมั่นในหลักการนั้นอย่าได้เป็นเพียงแค่ลมปาก แล้วเที่ยวสร้างวาทกรรมโยนความชั่วให้แต่คนอื่น พรรคอื่น โดยลืมตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูความอัปลักษณ์ของตัวเองว่ามีอะไรบ้าง ถือเป็นความท้าทายของหัวหน้าพรรคคนใหม่ และยิ่งการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกำลังจะมาถึงอีก 3 วันข้างหน้า เราก็จะได้เห็นว่า พรรคที่อ้างเชื่อมั่นระบอบประชาธิปไตย ยึดมั่นระบบรัฐสภานั้น จะฟังเสียงจากประชาชนที่ลงฉันทามติผ่านการเลือกตั้งหรือไม่
ฟากของ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล พรุ่งนี้ (11 กรกฏาคม) นัดหมายหารือกันที่รัฐสภา ความว่า 7 พรรคร่วมอยากฟังจากปากของแกนนำก้าวไกล เสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ที่แสดงความมั่นใจกันนั้นมาจากพื้นฐานอะไร เกิดการเจรจาจนได้ข้อสรุปและยืนยันกันมั่นเหมาะแล้วใช่ไหมว่ายกมือหนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แน่นอน จะได้ไม่ต้องกังวล หรือถ้าไม่ได้จะวางแผนสองกันอย่างไร จำเป็นถึงขั้นที่จะต้องดึงพรรคการเมืองที่ไม่ได้ร่วมเซ็นเอ็มโอยูมาร่วมหรือไม่
ความเคลื่อนไหวของพิธาที่เดินสายตามจังหวัดต่าง ๆ โดยมารยาทก็บอกว่าเป็นการไปขอบคุณประชาชนที่เลือกคนของพรรคเข้ามาถล่มทลาย แต่ในอีกด้านถูกมองนี่เป็นการปลุกมวลชนให้เตรียมพร้อมเพื่อเคลื่อนไหวกรณีที่ตัวเองไม่ได้รับเสียงโหวตให้เป็นนายกฯ คนที่ 30 หรือไม่ อย่างที่บอกไปหลายรอบแล้วว่า เรื่องกระบวนการจัดตั้งมวลชน หลังผ่านการถูกยุบพรรคอนาคตใหม่มาแล้ว วันนี้ทั้งก้าวไกลและคณะก้าวหน้ามีการเตรียมการและเตรียมพร้อมกันไว้อย่างเป็นระบบ
นึกภาพวันโหวตนายกฯ เราจะได้เห็นด้อมส้มและคนรุ่นใหม่มารวมตัวกันใกล้อาคารรัฐสภา เพื่อแสดงพลังสนับสนุนและกดดันไปในตัวให้ ส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงพิจารณากันให้รอบคอบ ขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่งก็จะมีม็อบจัดตั้งเพื่อเรียกร้องให้ ส.ว.ไม่ลงคะแนนให้พรรคที่จะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ถ้ามองเป็นประชาธิปไตยถือเป็นความสวยงาม ทุกคนล้วนมีสิทธิที่จะแสดงออกต่อสิ่งที่ตนเองมีความเชื่อ แต่ความเป็นจริงต้องมองไปข้างหน้าประเทศชาติจะเดินกันอย่างไร
ระยะเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมานั้นถามว่าบ้านเมืองขาดโอกาสอะไรไปบ้างแทบจะไม่ต้องสาธยาย รวยกระจุกจนกระจาย ความเหลื่อมล้ำที่ถูกถ่างออกมากขึ้น ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำจากขบวนการที่ตั้งต้นว่าจะเข้ามาคืนความสุข สร้างรอยยิ้มให้กับคนไทย ขอเวลาอีกไม่นาน และเราจะทำตามสัญญา แต่ว่าอยู่ไปอยู่มานอกจากทำไม่ได้ ไร้สัจจะแล้ว ยังต้องการจะอยู่ยาว โดยปราศจากผลงานที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นแม้แต่น้อย
ทั้งที่รู้ว่าไร้วิสัยทัศน์ ไม่มีประสิทธิภาพในการเป็นนักบริหารและขาดภาวะความเป็นผู้นำอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังอยากจะอยู่ต่อไป ทว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาเป็นตัวบ่งชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ไปต่อแล้ว ถึงเวลาของความเปลี่ยนแปลง การแสดงท่าว่ายอมแพ้ ไม่ขอข้องเกี่ยวกับการเมือง ไม่อยากไปอยู่ท่ามกลางวงของความขัดแย้งนั้น แท้ที่จริงแล้วว่ากันว่านี่เป็นเพียงละครน้ำเน่าที่ตีบทไม่แตก เล่นไม่เนียน มิหนำซ้ำ พวกตัวอิจฉานางร้ายลิ่วล้อทั้งหลายก็ทำอะไรกระโตกกระตากจนคนรู้เช่นเห็นชาติ
ปฏิกิริยาการข่มขู่ทั้งจากนักวิชาเกินบางรายที่จะเล่นงาน ส.ว.ลากตั้งหากไปโหวตให้พิธา หรืออาการทุรนทุราย ดิ้นสารพัดของ ส.ว.บางรายยิ่งสะท้อนให้เห็นความพยายามในการที่จะพลิกเกมเพื่อขออยู่ยาวให้ได้ โดยไม่สนใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร หลายความเคลื่อนไหวในแวดวงการเมือง และวงนอกที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องแต่มีความเกี่ยวพันทางการเมือง เหมือนเป็นภาพฉายให้เห็นว่าทิศทางการเมืองของขั้วอำนาจเดิมขาดสะบั้นกันไปแล้ว
จังหวะนี้จึงอยู่ที่ความสามารถในการเจรจาของก้าวไกลและพรรคร่วมตั้งรัฐบาล จะใช้สาลิกาลิ้นทองหว่านล้อมให้ ส.ว.ที่ยังแทงกั๊กหันมามองเห็นหัวประชาชนและช่วยกันปิดสวิตช์ส่งขบวนการสืบทอดอำนาจกลับบ้านกันได้หรือยัง ขณะเดียวกัน ที่จะมองข้ามกันไม่ได้คือการดึงพรรคการเมืองเข้ามาเติมเพื่อเพิ่มแสดงพลังของสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องกลับเข้ารูปเข้ารอย เป็นสภาของตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริงเสียที หลังจากที่ตกอยู่ภายใต้กลไกและเล่ห์เหลี่ยมของเผด็จการสืบทอดอำนาจมานาน เส้นทางโหวตพิธาเป็นนายกฯ จากที่เคยมองว่ายากมองเห็นโอกาสริบหรี่ เอาเข้าจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้