KJL วิ่ง 5% ส่งซิกงบไตรมาส 2 สดใส ดันรายได้ปีนี้โต 15%
KJL บวกเกือบ 5% ผู้บริหารแย้มผลงานไตรมาส 2 ดีต่อเนื่องรับ “ออเดอร์” เพิ่ม หนุนรายได้ทั้งปี 66 เติบโตตามเป้าที่ 10-15%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 ก.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ณ เวลา 10:08 น. อยู่ที่ระดับ 9.20 บาท บวก 0.45 บาท หรือ 5.14% สูงสุดที่ระดับ 9.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 8.85 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 10.61 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้ นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KJL เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานช่วงไตรมาส 2/66 คาดว่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1/66 เนื่องจากมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เพิ่มขึ้นทำให้มั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าที่ 10-15%
ขณะที่การดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ บริษัทจะเริ่มเห็นยอดขายจากสินค้าใหม่ ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มไฟฟ้า โดยเฉพาะโซลาร์รูฟ เพราะธุรกิจโซลาร์ปัจจุบันขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก บริษัทคาดสินค้าใหม่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตยอดขายให้เป็นไปตามเป้าเช่นกัน
ส่วนกำลังผลิต บริษัทเดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตตามแผน โดยสิ้นไตรมาส 1/66 บริษัทเพิ่มกำลังผลิตแล้ว 10% หรือเพิ่มเป็น 22 ล้านชิ้นต่อปี ทำให้สามารถผลิตสินค้า และส่งมอบได้ตามกำหนด ขณะที่การนำเข้าและติดตั้งเครื่องจักรใหม่ยังเป็นไปตามแผน โดยในไตรมาส 2/2566 หรือประมาณสิ้นเดือนมิถุนายนจะเพิ่มกำลังผลิตเป็น 25 ล้านชิ้นต่อปี ตามแผน และในสิ้นปี 66 คาดจะมีกำลังผลิตเป็น 30 ล้านชิ้นต่อปี
อย่างไรก็ตามบริษัทวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ นอกจากการผลิตและจำหน่ายตู้ไฟ รางไฟ และอุปกรณ์ที่ใช้เดินสายไฟทุกชนิด ซึ่งบริษัทจะเจรจากับพันธมิตร เพื่อผลิตสินค้าใหม่ และรองรับดีมานด์ของกลุ่มพลังงาน กลุ่มไฟฟ้า ซึ่งมีแนวโน้มการขยายตัวค่อนข้างโดดเด่น ตามกลุ่มธุรกิจดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายธุรกิจไปในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงพยาบาล อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน กลุ่มอุตสาหกรรม IT และ Data Center ซึ่งการเติบโตของบริษัทสอดคล้องกับแผนการขยายตัวของแนวโน้มอุตสาหกรรมไฟฟ้า และก่อสร้างที่มีความจำเป็นในการใช้สินค้าของบริษัทประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลงทุนอุตสาหกรรมก่อสร้างคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น จากการลงทุนโครงการใหญ่ๆ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
นายเกษมสันต์ กล่าวต่อว่า ด้านต้นทุนการผลิต ปัจจุบันราคาเหล็กปรับตัวลดลง ส่งผลให้โดยรวมต้นทุนลดลง ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากไตรมาส 1/2566 ที่อัตรากำไรขั้นต้น หรือมาร์จิ้นเติบโตเพิ่มขึ้น ส่วนทั้งปีนี้บริษัทจะพยายามผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะอยู่ที่ระดับ 30% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 13-15%