SCGP เด้ง 3% ลุ้นกำไร 1.5 พันล้าน โบรกชูเป้า 49 บาท อัพไซด์ 27%
SCGP เด้ง 3% โบรกเชียร์ “ซื้อ” ราคาหุ้นยังแลกการ์ด พร้อมประเมินไตรมาส 2/66 กำไร 1.5 พันล้านบาท โต 19% จากไตรมาสก่อนจากดีมานด์บรรจุภัณฑ์ฟื้นตัวดี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ต้นทุนลดลง ให้ราคาเป้าหมาย 49 บาท อัพไซด์ 27%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ก.ค. 66) ราคาหุ้น บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ล่าสุด ณ เวลา 10:20 น. อยู่ที่ระดับ 39.75 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 3.25% สูงสุดที่ระดับ 40.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 39.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 148.40 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้น SCGP ดีดกลับตอบรับข่าวหลังจาก นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP และ นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน SCGP ร่วมแถลงผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2566 และผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก รวมทั้งแนวโน้มในครึ่งปีหลัง
โดยบริษัทคาดว่ายอดขายไตรมาส 2/2566 จะเติบโตได้มากกว่าไตรมาส 1/2566 เป็นไปตามภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการภายในประเทศ หลังจากเศรษฐกิจและธุรกิจบริการกลับมาฟื้นตัวได้ดี รวมถึงราคาวัตถุดิบเริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติและมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนราคาพลังงานและค่าระวางเรือขนส่งมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริหารจัดการต้นทุน
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” SCGP ราคาหุ้นมีอัพไซด์ 27% จากราคาเป้าหมายที่ 49 บาท โดยราคาหุ้นได้ลดลง 32% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน หรือ YTD มี Valuation ที่น่าสนใจ ซื้อขาย EV/EBITDA 10.8 เท่า และ P/BV 1.6 เท่า สำหรับปี 2566 ในขณะที่ผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2566 จะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในระยะยาวคาด SCGP จะเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และกลยุทธ์โซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร
โดยประเมินกำไรสุทธิ Q2/2566 จะฟื้นตัวดีขึ้น สู่ระดับ 1,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน ได้แรงหนุนจากต้นทุนที่ลดลง และบรรจุภัณฑ์เกี่ยวกับการบริโภคในไทยและเวียดนามที่เติบโต อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 18.0% จาก 17.6% ในไตรมาสก่อน จากต้นทุนที่ลดลง ประกอบด้วย วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ค่าระวางเรือ และถ่านหิน
ทั้งนี้ ต้นทุนที่ลดลงจะช่วยหนุนผลประกอบการครึ่งปีหลัง จากต้นทุนวัตถุดิบ (สัดส่วน 50-55% ของต้นทุนการผลิต) กระดาษรีไซเคิล ใน Q2/2566 ยังปรับลดลงต่อเนื่องเหลือ 161 เหรียญฯ/ตัน (ลดลง 6% จากไตรมาสก่อน และลดลง 41% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ในขณะที่ SCGP ต้นทุนการผลิตวัตถุดิบจะลดลงภายในระยะประมาณ 3-6 เดือน ทำให้เฉลี่ยแล้วบริษัทจะรับรู้ต้นทุนใหม่ที่ถูกลงในไตรมาส 3/2566
ส่วนต้นทุนถ่านหิน (สัดส่วน 7% ของต้นทุน) ได้ปรับลดลงต่อเนื่อง คือ ถ่านหิน ICI3 จากอินโดนีเซีย ราคาในไตรมาส 1/2566 เท่ากับ 100 เหรียญฯ/ตัน ในไตรมาส 2/2566 ลดลงเหลือ 85 เหรียญฯ/ตัน และปัจจุบันในเดือน ก.ค. ลดลงเหลือ 69 เหรียญฯ/ตัน นอกจากนี้ต้นทุนค่าระวางได้ปรับลดลง ช่วยหนุนกำไรในครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยังมองแนวโน้มดีมานด์ครึ่งปีหลังจะดีขึ้น คงประมาณการแนวโน้มของดีมานด์ในครึ่งปีหลังของบรรจุภัณฑ์จะดีขึ้นจากครึ่งปีแรก โดยได้แรงหนุนจากความต้องการสินค้าบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องในไทย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 42% ของยอดขายทั้งหมด, ประเทศเวียดนาม สัดส่วน 13% ของยอดขายของบริษัท ได้ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จาก 10% เหลือ 8% ในเดือน ก.ค. เพื่อกระตุ้นการบริโภค, ประเทศอินโดนีเซีย (สัดส่วน 15% ของยอดขาย) กำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และคาดจีน (สัดส่วน 11% ของยอดขาย) จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงได้ประโยชน์จากต้นทุนกระดาษรีไซเคิล ค่าระวางและต้นทุนถ่านหินที่ลดลง โดยคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ไว้ที่ 6,596 ล้านบาท เติบโต 14%