RATCH ลงต่อ 4% หลังโบรกแนะ “ขาย” หั่นเป้ารวดเดียว 13 บาท

RATCH ร่วงอีก 4% เซ่นโบรกหั่นเป้าเหลือ 33 บาท มองกำไรลดลงตั้งแต่ปี 68 เนื่องจากบริษัทมีกำลังผลิตโรงไฟฟ้าลดลง และคาดว่าจะกำลังผลิตใหม่ทดแทนไม่ทันในช่วงที่กำลังผลิตลดลง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 ก.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ณ เวลา 10:52 น. อยู่ที่ระดับ 34 บาท ลบ 1.25 บาท หรือ 3.55% สูงสุดที่ระดับ 35 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 34 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 258.09 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น RATCH ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวานนี้ หลังบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” หลังทบทวนการประเมินมูลค่าอีกครั้ง หลังเสร็จสิ้นการลงทุนขนาดใหญ่บนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในปีที่แล้ว

1.เรามองว่าอัตรากำไรที่เติบโตแข็งแกร่งที่ 36/22% ในปี 66-67 นั้นมาจากเพียงแรงหนุนของการทำ M&A ซึ่งใช้เงินจากการเพิ่มทุน การเติบโตของ EPS จึงมีอัตราช้ากว่าที่ 16/22% จากผลของdilution

2.คาดว่ากำไรจะเริ่มลดลงในปี 68 จากการหมดอายุของโรงไฟฟ้า IPP กำลังผลิต 1.5GW ในปี 68 และ 2.2GW ในปี 70 (รวม 42% ของกำลังการผลิต)

3.มองว่าราคาหุ้นที่ปรับลงมาเหลือ 11 เท่า PE และอัตราตอบแทนปันผล 5% ในปี 66 นั้นยังไม่น่าสนไจ บนแนวโน้มกำไรที่ลดลงในระยะยาว จึงปรับประมาณการกำไรลง 32/26/26% ในปี 66-68 จากการทำ M&A ที่ช้าและให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดาด ราคาเป้าหมายปี 66 จึงถูกปรับลงเหลือ 33 บาท (จาก 46 บาท)

ทั้งนี้คาดว่ากำไรของ RATCH จะเติบโต 36% ในปี 66 และ 22% ในปี 67 จากการทยอยรับรู้กำไรจากการลงทุนสองโครงการล่าสุด 1.RATCH ลงทุน 2.15 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น 100% ใน Nexif Energy ผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าระดับภูมิภาคในเอเชียแปซิฟิกไปเมื่อไตรมาส 1/66 ซึ่งทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 556MW ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและก๊าซธรรมชาติในไทย เวียดนาม อินโดนีเชีย และฟิลิปปินส์

2.RATCH ใกล้จะปิดดีล 2.54 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton P3 และ P7/8 ในอินโดนีเซีย รวมกำลังการผลิต 742MW ซึ่งน่าจะสำเร็จในไตรมาส 3/66

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเชื่อว่าการลงทุนทั้งสอง (และการซื้อโครงการพลังงานทดแทนขนาดเล็ก) ได้ใช้เงินส่วนใหญ่ของการเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้านบาท ในปี 65 ไปแล้ว การเติบโตหลังปี 67 จึงดูไม่ยั่งยืน

ทั้งนี้ คาดกำไรของ RATCH จะเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 68 เนื่องจากกำลังการผลิตทยอยลดลงจาก 8.9GW ในปี 67 เป็น 5.6GW ในปี 71 ซึ่งเทียบเท่าอัตราลดลง 11% ต่อปี ในช่วงสี่ปีดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุส่วนใหญ่ (รวม 3.6GW) ยังเป็นโรงไฟฟ้า IPP และ SPP ที่มีอัตรากำไรสูง จึงมองว่าเป็นการยากที่ RATCH จะสามารถหากำลังการผลิตใหม่ได้เพียงพอเพื่อทดแทนกำไรที่ลดลงดังกล่าว และคาดว่ากำไรของ RATCH จะลดลงเฉลี่ย 9% ต่อปี ในช่วงปี 67-71

นอกจากนี้ มีมุมมองเป็นลบต่อการกระจายการลงทุนของ RATCH ไปยังธุรกิจที่ไม่โรงไฟฟ้า (มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้า และโรงพยาบาล) เนื่องจากเห็นมองว่าธุรกิจเหล่านั้นให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า และไม่คิดว่า RATCH จะสามารถใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่มีอยู่เพื่อได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากการร่วมลงทุนเหล่านี้ ฝ่ายวิจัยกลับมองว่าการเลือกขยายการลงทุนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของ RATCH ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า

Back to top button