โบรกคัด 3 ธีมเด่น ลุ้นครึ่งปีหลังฟื้น!
โบรกแนะลงทุน 3 ธีม ชี้กำไรครึ่งปีหลังฟื้นตัว รับเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง และเศรษฐกิจจีนกระตุ้น รวมถึงนโยบายรัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จํากัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรงวดไตรมาส 2/2566 ของบริษัทจดทะเบียน รายงานออกมาแล้ว 16 บริษัท มีมาร์เก็ตแคป 4.8% ขณะที่มีกำไรสุทธิรวม 2.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากพิจารณาจากบลูมเบิร์กจะเห็นได้ว่ากำไรไตรมาส 2/2566 มีผลเชิงบวกมากกว่าหรือสูงกว่าคาดการณ์เล็กน้อยราว 0.36%
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยทำการรวบรวมกำไรงวดไตรมาส 2/2566 ที่ประกาศออกมาแล้ว และคาดการณ์กำไรไตรมาส 2/2566 ของฝ่ายวิจัยประมาณ 43 บริษัท ซึ่งมีกำไรรวมอยู่ที่ 1.1 แสนล้านบาท มีมาร์เก็ตแคป 34% ลดลง 17% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อกำไรงวดไตรมาส 2/2566 และมีโอกาสที่ค่า EPS ปี 2566 อาจต่ำกว่าประมาณการที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 91.8 บาท/หุ้น
อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเริ่มเห็น Downside ของประมาณการกำไรปีนี้ คือ ประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2566 ของ Consensus ปรับลดลงเรื่อยๆ โดยต้นปีอยู่ที่ 106 บาท/หุ้น ส่วนต้นเดือน ก.ค.66 อยู่ที่ระดับ 93.9 บาท/หุ้น และล่าสุดอยู่ที่ระดับ 92.8 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าว น่าจะเริ่มเห็นความจริงที่ชัดเจนขึ้นในครึ่งแรกของเดือน ส.ค. ที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลแห่งประกาศงบไตรมาส 2/2566 ที่แท้จริง ซึ่งต้องติดตามว่าจะทำให้ทิศทางกำไรไตรมาส 2/2566 จะเป็นเช่นไร และสร้าง Downside ต่อประมาณการกำไรปี 2566 มากน้อยเพียงไหน
อย่างไรก็ตามภาพรวมผลประกอบการช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดจะเห็นการเติบโตที่ดีขึ้นจากฐานกำไรที่ต่ำกว่าครึ่งหลังของปี 2565 ที่ต่ำเพียง 4.04 แสนล้านบาท โดยปกติอยู่ในโซน 4.5 – 5 แสนล้านบาท จากแรงกดดันหลักๆ เกิดจากฐานกำไรงวดไตรมาส 4/2565 ต่ำเหลือเพียง 1.72 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ยังคาดหวังแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะเติบโตเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมทั้งจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจากรัฐบาลใหม่
ดังนั้น สรุปแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/2566 มีโอกาสลดลงทั้งจากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่น่าจะเห็นการเติบโตกลับมาในครึ่งหลังของปี 2566 ประเมินว่ายังไม่เห็น Downside จากประมาณการของฝ่ายวิจัย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้น 3 ธีม ประกอบด้วย หุ้น China Play, หุ้น Election Pay และ Earning Momentum Pay ดังนี้
1. หุ้น China Play คือ ERW, SCGP, PTTEP, SCC, CPF, HANA โดยทางฝ่ายวิจัยทยอยออกบทวิเคราะห์หุ้นบางส่วน ที่คาดว่าได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนกระตุ้น มองว่าครึ่งปีหลังฟื้นตัว
บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ระบุว่า คาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งเป็นแรงส่งให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยตาม มองเป้าหมายที่มองไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน ผลักดันนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปี 2566 ฟื้นตัวสู่ระดับ 25 ล้านคน
ทั้งนี้ ประเมินกำไรปกติของ ERW ไต่ระดับเป็นขั้นบันไดตั้งแต่ไตรมาส 3/2566-ไตรมาส 1/2567 ที่ถือว่าเป็นช่วง High Season ของท่องเที่ยวไทย และดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนทุกไตรมาส หนุนด้วยการครอบคลุมของท่องเที่ยวไทย โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 5.70 บาท
บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ระบุว่า ทิศทางผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ทั้งยอดขายและมาร์จิ้น ซึ่งปัจจัยสนับสนุนยอดขายมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไทยและเวียดนามที่มีจุดเด่นเรื่องอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว โดยให้ราคาเป้าหมาย 56 บาท
บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ระบุว่า ทิศทางราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดน่าจะเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาส 2/2566 ได้รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศทั่วโลก แต่ในระหว่าง ทางยังคงแนะนำลงทุนในลักษณะ TRADING ตามราคาน้ำมันอยู่ ซึ่งช่วงสั้นคาดราคาหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับกลุ่มฯ และตลาด โดยให้ราคาเป้าหมาย 173 บาท
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น เทียบกับช่วงครึ่งปีแรกบนความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนออกมาเพิ่มเติมในอนาคต โดยจีนถือเป็นประเทศที่มีการบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี 40% ของทั้งโลก น่าจะสร้าง ผลเชิงบวกในแง่ของดีมานด์มากขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งอุปทานใหม่ของ Ethylene ทั่วโลกจะออกมาในปีนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก โดยอุปทานใหม่ของ Ethylene ทั่วโลก จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567-2568 ยืนยันความเชื่อ ว่าธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะใกล้ผ่านพ้นช่วงวัฏจักรขาลงแล้ว ส่งผลให้ภาพดีมานด์และซัพพลายของธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ จะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอีก โดยให้ราคาเป้าหมาย 370 บาท
2. หุ้น Election Pay คือ GULF, GPSC, CK, STEC, SIRI, SC, ADVANC, PR9 โดยทางฝ่ายวิจัยทยอยออกบทวิเคราะห์หุ้นบางส่วน ที่คาดว่าได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง และประเมินครึ่งปีหลังฟื้นตัว ดังนี้
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ระบุว่าแนวโน้มกำไรในช่วงไตรมาส 2/2566 จนถึงไตรมาส 3/2566 ที่คาดจะทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงภาพรวมใหญ่ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้ายังเห็นการฟื้นตัวของกำไรขึ้นต่อเนื่องจากต้นทุนก๊าซฯที่ลดลง และโครงการใหม่ๆ ในมือที่เตรียมทยอย COD ตามแผน โดยให้ราคาเป้าหมาย 76 บาท
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ระบุว่าแนวโน้มครึ่งหลังของปี 2566 คาดดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ตามแผนเปิดโครงการใหม่ที่มีจำนวนมากในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะแนวราบระดับบน รวมถึงโอนต่อเนื่องของแนวราบเดิม เช่น นาราสิริ และบูก้าน กรุงเทพกรีฑา ล้วนเป็นโครงการที่มีมาร์จิ้นสูง
ขณะที่การเปิดขายคอนโดใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในปลายไตรมาส 3/2566 จะเข้ามาหนุนต่อยอดโอนของคอนโดมากขึ้นในไตรมาส 4/2566 และเพิ่ม Upside ต่อประมาณการกำไรปกติและกำไรสุทธิปีนี้ โดยให้ราคาเป้าหมาย 2.32 บาท
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ระบุว่า แนวโน้มการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2566 คาดจะดีขึ้นจากครึ่งปีแรก ตามแผนเปิดโครงการใหม่ที่จะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะโครงการแนวราบคาดมีมูลค่า 1.88 หมื่นล้านบาท ประกอบกับการมีแบ็กล็อกแนวราบสิ้นไตรมาส 2/2566 ที่จะรอรับรู้รายได้สูงราว 7 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่รับรู้รายได้ในไตรมาสถัดไป และมาจากโครงการใหม่ที่เปิดขายไตรมาส 2/2566
โดยไตรมาส 3/2566 มีจำนวน 3 ยูนิต ทำให้คาดผลประกอบการจะดีขึ้น และต่อเนื่องไปยังไตรมาส 4/2566 อย่างไรก็ดีด้วยกำไรครึ่งแรกของปี 2566 ที่น่าจะคิดเป็น 40% ของเป้ากำไรทั้งปี โดยให้ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ระบุว่า แนวโน้มกำไรช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะเติบโตได้ดีขึ้นกว่าครึ่งหลังของปี 2566 จากรายได้ค่าบริการมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังมีการปรับโครงสร้างราคาใหม่ ซึ่งแม้จะส่งผลให้ฐานลูกค้าลดลงไปบ้าง แต่จะชดเชยได้ด้วยอาปู้ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้น่าจะมีรายได้จากการให้บริการซิมนักท่องเที่ยว และบริการโทรข้ามแดนที่สูงขึ้น อีกทั้งในช่วงปลายปีจะมีการจับจ่ายสินค้าสูงกว่าช่วงอื่นๆ บวกกับมักจะมีการ เปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 3/2566 หรือต้นไตรมาส 4/2566 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายอุปกรณ์มือถือเต็มที่ในไตรมาส 4/2566
อีกทั้งเชื่อว่ากำลังซื้อในครึ่งหลังของปี 2566 จะดีกว่าครึ่งปีแรก ตามคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่จะโตได้ดีขึ้น ซึ่งจะหนุนการจับจ่าย รวมทั้งการซื้อ อุปกรณ์มือถือใหม่ รวมถึงต้นทุนมีแนวโน้มลดลง โดยให้ราคาเป้าหมาย 243 บาท
3. หุ้น Earning Momentum Pay ประกอบด้วย PLANB, SNNP, JMT โดยทางฝ่ายวิจัยทยอยออกบทวิเคราะห์หุ้นบางส่วน ที่คาดว่าโมเมนตัมของอัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น และประเมินครึ่งปีหลังฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก ดังนี้
บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB ระบุว่า แนวโน้มกำไรครึ่งหลังของปี 2566 ดีกว่าครึ่งปีแรก จากปัจจัยด้านฤดูกาล การใช้เม็ดเงินสื่อโฆษณานอกบ้านมีฤดูกาลที่ชัดเจน โดยตัวเลขจะต่ำที่สุดในไตรมาสแรกของปี และจะเพิ่มขึ้นไต่ระดับทำจุดสูงสุดในช่วงไตรมาส 4/2566 จากการจัดกิจกรรมการตลาด Outdoor ที่มีมากขึ้นในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นไปในทิศทาง เดียวกับ PLANB ที่จะมีอัตราการใช้สื่อช่วงครึ่งปีหลังสูงกว่าครึ่งปีแรกอย่างเห็นได้ชัด โดยปีนี้มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตสื่อเพิ่มขึ้นอีก 4% จาก 8,602 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 8,950 ล้านบาท โดยให้ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท
บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ระบุว่า แนวโน้มครึ่งหลังของปี 2566 จะมีกำไรที่เติบโตได้ดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากคาดหวังรายได้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในไทย และเวียดนามที่คาดจะเติบโตดีขึ้น โดยเฉพาะในเวียดนามที่รัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในช่วง ก.ค.66 – ธ.ค.66 ซึ่งคาดจะหนุนการจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค
รวมถึงสินค้าของ SNNP ในช่วงปลายปี เป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง ซึ่งสินค้าประเภทขนมขบเคี้ยว มักจะขายดี รวมทั้ง “เบนโตะ” ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยให้ราคาเป้าหมาย 27 บาท
บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT แนวโน้มครึ่งหลังของปี 2566 คาดกำไรเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบครึ่งปีก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนตามรายได้ของลูกหนี้ที่จะดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ จากรายได้ธุรกิจบริหารหนี้เติบโต สอดคล้องกับพอร์ตลูกหนี้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายจากการตัดมูลค่าเงินลงทุน ในลูกหนี้ด้อยคุณภาพเริ่มทยอยหมดลงต่อเนื่อง
โดยมองว่ามีประเด็นที่จะผลักดันการเติบโตของกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น หนุนความสามารถในการจับจ่ายและชำระหนี้ และพอร์ตลูกหนี้ยังจะขยายตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีสถาบันการเงินอาจมีการขายหนี้ออกมาเพิ่มขึ้นที่ผ่านมาปลายปีเป็นช่วงที่สถาบันการเงินมักมีการขายพอร์ตหนี้ NPL ออกมา มากกว่าช่วงอื่นๆ ซึ่งยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ไว้ตามเดิมที่ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2567 ไว้ที่ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน