พาราสาวะถี

คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอดีตมา ล้วนแล้วแต่มองว่า การเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งครั้งที่สกปรกที่สุดคือการเลือกตั้งเมื่อปี 2500


คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทย หรือผู้ที่ผ่านเหตุการณ์การเมืองไทยในอดีตมา ล้วนแล้วแต่มองว่า การเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งครั้งที่สกปรกที่สุดคือการเลือกตั้งเมื่อปี 2500 หลังจากที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้สำเร็จ จะเรียกว่าเป็นการเลือกตั้งเพื่อแหกตาก็ว่าได้ แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในไทยหวังว่าจะได้เห็นความเบ่งบานของสิทธิ เสรีภาพ และการร่วมกำหนดอนาคตประเทศของประชาชน 

หลังผ่านการล้มลุกคลุกคลานมากว่า 91 ปี ประชาธิปไตยไทยดูเหมือนว่าจะเบ่งบานได้เต็มที่จากรัฐธรรมนูญปี 2540 ก่อนจะดับวูบหลังการรัฐประหาร 2549 จากนั้นก็เข้าสู่โหมดอัสดงโดยเฉพาะกับรัฐธรรมนูญ 2560 อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านการเลือกตั้ง 14 กุมภาพันธ์ 2566 ประชาชนฝันหวานกันว่าจะได้รัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองซึ่งผ่านฉันทามติเสียงส่วนใหญ่ สุดท้ายก็ไปไม่รอดถูกไสยศาสตร์ทางกฎหมายเล่นงานจนพรรคที่ชนะเลือกตั้งไม่ได้ไปต่อ

กระทั่งเกิดการตั้งโต๊ะแถลงข่าวเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลขั้วใหม่โดยเพื่อไทยและภูมิใจไทย ตั้งต้นที่ 212 เสียงของ สส.จากสองพรรค ก่อนที่วานนี้จะมีการแถลงเติมเสียงจากพรรคเล็กอีก 6 พรรค พร้อมแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยว่าด้วยการสลายขั้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณในแง่ของการดึงพรรค 2 ลุงมาเข้าร่วม แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งหลายตะลึงพรึงเพริศคงจะเป็นการเล่นบท “ขงเบ้ง” ของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นมือไม้คนสำคัญในการเดินเกมการเมืองแทน ทักษิณ ชินวัตร ก็ว่าได้

ไม่น่าเชื่อว่าเสี่ยอ้วนจะแสดงได้ถึงบทบาทขนาดนั้น ด้วยการประกาศขอเสียงสนับสนุนจากพรรคก้าวไกล เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย แต่ไม่ได้มีการพูดถึงการปิดสวิตช์พวกลากตั้ง ล้มอำนาจทั้งหลายทั้งปวงที่มาจากการรัฐประหาร ใครได้ฟังย่อมจะอดมองไม่ได้ว่าเข้าทำนอง “เอาแต่ได้” คำถามที่ต้องย้อนกลับไปยังขงเบ้งและพรรคนายใหญ่ก็คือ เรียกร้องให้พรรคชนะเลือกตั้งช่วยโดยเห็นแก่ประโยชน์บ้านเมือง แล้วพรรคที่มาจากขั้วอำนาจเดิมทำไมจึงไม่ยอมร่วมรัฐบาลกับก้าวไกล

ประเด็นเรื่องแก้ไขมาตรา 112 ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะหากยกเอาเหตุผลอย่างที่ภูมิธรรมให้สัมภาษณ์มาวางบนโต๊ะแล้วถกกันอย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าก้าวไกลก็น่าจะตัดสินใจลดเพดานหรือพักวางไว้ก่อน แล้วไปจัดลำดับความสำคัญของการแก้ปัญหาให้กับประเทศ แต่เมื่อเลือกที่จะเดินเกมการเมืองแบบเพื่อไทยเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ไว้วางใจ และเห็นว่าวิกฤตของประเทศ และผลประโยชน์ของประชาชนเป็นเพียงข้ออ้าง กระบวนการที่ทำอยู่ทั้งหมดเพื่อคนคนเดียวเท่านั้น

มาถึงตรงนี้เชื่อแน่ว่า คนจำนวนไม่น้อยน่าจะเห็นด้วยกับความเห็นของ ไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ยุครัฐบาลเผด็จการ คสช. ที่ระบุว่า “ประวัติศาสตร์การเลือกตั้ง 2500 สกปรกที่สุด การตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2566 โสโครกที่สุด” พร้อมด้วยมุมมองที่มีต่อการดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลหนนี้ เพื่อไทยที่เป็นตัวตั้งตัวตีท้ายที่สุดอาจรับประทานแห้วตามรอยก้าวไกล ปลายทางจะมีการส่งไม้ต่อให้ขาใหญ่จัดตั้งรัฐบาลต่อไป

ประเด็นที่ไพศาลวิจารณ์ ก็ไม่ต่างจากการข่าวของผู้ที่เกาะติดเบื้องหลังการตั้งรัฐบาลรอบนี้ ท่าทีของเพื่อไทยมีอะไรที่แปลกแปร่งชวนให้จับตาเป็นอย่างยิ่ง การประกาศสลายขั้วก็เท่ากับตัดประเด็นยกการ์ดสูงเรื่องไม่มีลุงทิ้งไป นั่นก็จะเข้าข่ายการเมืองตามที่อดีตกุนซือรายนี้บอกไว้ หลอกแดก แหกตา ต้มตุ๋น ยิ่งการบอกว่าไล่หนูตีงูเห่าแค่วาทกรรมหาเสียง ก็เท่ากับชี้ให้เห็นว่าการตั้งข้อจำกัด วางเงื่อนไขต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นเป็นแค่การผายลมให้คนไทยดมเท่านั้น เงื่อนไขแบบผายลมเช่นนี้ตั้งรัฐบาลไม่ได้ 

การที่เพื่อไทยดัน เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไม่สำเร็จ ตามแผนการการเมืองก็จะมีการส่งไม้ต่อให้ อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งสถานการณ์ทางการเมืองสำหรับภูมิใจไทยเวลานี้ต้องยอมรับกันว่าไม่สู้ดี  ศักดิ์สยาม ชิดชอบ มีคดีคาที่ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ส่วน กกต.ก็เล็งจะสอย สส.กว่า 30 คน และยังมีคดียุบพรรคพ่วงเข้ามาด้วย มองไปแล้วก็ไม่ได้เบาไปกว่าก้าวไกลหรือเพื่อไทยแต่อย่างใด กรณีนี้ไพศาลมองว่ากลิ่นเน่าของไสยศาสตร์ทางกฎหมายในวาระสุดท้าย ย่อมคละคลุ้งหนักหน่วงเป็นธรรมดา

ความโสโครกของการใช้กลไกของขบวนการสืบทอดอำนาจไม่ใช่เพียงแต่การเล่นงาน 3 พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจากการเลือกตั้งเท่านั้น แม้แต่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ก็ไม่ได้รับการยกเว้น มีความพยายามที่จะเตะตัดขากันอยู่ตลอดเวลา ฐานะอดีตกุนซือไพศาลเลยได้โชว์ข้อมูลการลาประชุมของบิ๊กป้อมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ไม่ได้เกิดจากการงอนอะไรใครทั้งสิ้น แต่มีภารกิจสำคัญคือการให้การต้อนรับผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่นำคณะเดินทางด่วนมาขอพบ 

แต่ปรากฏว่าคณะดังกล่าวติดต่อเข้าพบโดยวิถีทางปกติไม่ได้ มีไอ้โม่งคอยขวาง จนคณะเดินทางถึงประเทศไทย และถึงกำหนดการจะพบปะหารือกันแล้ว พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เพิ่งทราบเรื่องจากการประสานงานพิเศษเพียงไม่กี่ชั่วโมง จึงต้องปลีกตัวลาประชุม ครม.กะทันหันมาหารือข้อราชการสำคัญเร่งด่วน บอกแล้วว่าในภาพของพี่น้องแก๊ง 3 ป.ที่พยายามสร้างว่ายังรักกันดีนั้น เต็มไปด้วยการห้ำหั่นกันของบรรดากุนซือที่ถือหางคนละข้าง ไม่ได้รักกันดูดดื่มเหมือนเดิม

ผลพวงจากเล่ห์กลของขบวนการสืบทอดอำนาจที่ไม่เพียงแต่จะทำให้การเมืองบิดเบี้ยว นักการเมืองและพรรคการเมืองทำท่าว่าจะกลายเป็นตัวตลกเท่านั้น แม้แต่ผู้ทรงภูมิความรู้คนหนึ่งจบหมอ คนหนึ่งเป็นวิศวกร อย่าง นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว และ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ร่วมกันแถลงข่าวจะพากันตกเลข เพราะประกาศรวมเสียง 8 พรรคถึงเวลานี้ได้ 228 เสียง แล้วบอกว่า “ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว” เฮ้อ! หน้าฉากเล่นตามบทกันแต่ดันไม่เนียน มันเลยทำให้มองไปถึงหลังฉาก ทะลุเห็นตับไตไส้พุง จะเปิดตัวพรรค 2 ลุงกันวันไหน ทำถึงขนาดนี้แล้วไม่ต้องให้ขงเบ้งมาตีบทเสียน้ำตาขอเสียงจากก้าวไกลแล้วกระมัง

Back to top button