เปิดโผ 3 หุ้น “เครื่องดื่ม” โกยกำไรสนั่น! SAPPE โต 87%

เปิดโผ 3 หุ้นเครื่องดื่มตัวท็อป SAPPE-ICHI-SNNP  โกยกำไรไตรมาส 2/66 โตสนั่น “เซ็ปเป้” นำทีมโกยกำไรโตสุด 86% ทะลุ 300 ล้านบาท ดันผลงาน 6 เดือนกำไรเฉียด 600 ล้าน ฟาก ICHI โกยกำไรสูงสุดต่อเนื่องในรอบ 7 ปี ส่วน SNNP โบรกฯคาดกำไรสุทธิทำ “นิวไฮ” ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2566


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลหลักทรัพย์กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม(Food & Beverage) ที่ประกาศงบการเงินไตรมาส 2/66 มานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกหุ้นที่มีกำไรเติบโตมากสุดโดย SAPPE, ICHI, และSNNP ดังตารางประกอบดังนี้

อันดับ 1 บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน 2566  มีกำไรสุทธิ 312.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่167.28 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรสุทธิ 587.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่320.67 ล้านบาท

โดยผลประกอบการ “ เซ็ปเป้” ในไตรมาส 2/66 บริษัทฯมีรายได้เท่ากับ1,656.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดรายได้จากการขายที่สูงที่สุดรายไตรมาสตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ(All-Time High) คิดเป็นการเติบโต 34.0% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของยอดขายในต่างประเทศจากทุกภูมิภาค เอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง อเมริกา และไทย จากการที่บริษัทฯสามารถขยายช่องทางการขายในตลาดต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่องทางการขายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ (National Chain) และมาจากการเติบโต ของยอดขายในประเทศจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่10 รายการสินค้าตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา

ขณะที่สัดส่วนต้นทุนขายในไตรมาส 2/2566 ต่อรายได้จากการขายอยู่ที่ 55.5% คิดเป็นการปรับตัวลดลง 4.1 pts. เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า โดยบริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากทั้งจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และเงินยูโร รวมทั้งการบริหารจัดการภายในด้านการผลิตที่ดีขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้สัดส่วนต้นทุนการผลิตต่อรายได้จากการขายปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์(11 ส.ค.66) คงคำแนะนำ “ซื้อ” SAPPE ที่ราคาเป้าหมาย 120.00 บาท SAPPE รายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/66 ที่ 312 ล้านบาท โต 87%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ใกล้เคียงคาด จาก 1) รายได้รวมขยายตัว ฃ+34% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ที่ขยายตัวทั้งในและต่างประเทศ หนุนโดยการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในฝรั่งเศสและอังกฤษ และมีการออกสินค้าใหม่ 3 SKUs 2) GPM ขยายตัว จากราคา PET Resinปรับตัวลดลง และ 3) SG&A expenses ปรับตัวลดลง เนื่องจาก logistic ปรับตัวลดลงจากค่าระวางลดลงทำให้ลูกค้าของ SAPPE จองเรือเอง

โดยคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 1,221 ล้านบาท โต 87% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 67 ที่ 1,480 ล้านบาท โต 21% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรครึ่งแรกปี 66 มีสัดส่วน 48% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิครึ่งหลังปี 66 จะขยายตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน  และเทียบครึ่งแรกปีนี้ จากรายได้ที่ขยายตัวจากฤดูร้อนของยุโรปและเอเชียที่ร้อนกว่าปกติดีมานด์ ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และ GPM ที่ขยายตัวจากต้นทุนพลังงานและ packaging ที่ปรับตัวลดลง

อันดับ 2 บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน 2566  มีกำไรสุทธิ 255.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 152.54 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรสุทธิ 477.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 256.47 ล้านบาท

ด้านนายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ ICHI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 บริษัทมีกำไรสุทธิ 255.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 152.54 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2,029.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,616.5 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากภายในประเทศเพิ่มขึ้น 26% จากการเติบโตของกลุ่มตลาดชาพร้อมดื่มและสินค้าใหม่ ส่วนยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 22.5% จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM)

​ดังนั้น จึงส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 477.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 256.47 ล้านบาท และมีรายได้รวม 3,862.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,058.8 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากภายในประเทศเพิ่มขึ้น 27.8% จากการเติบโตของกลุ่มตลาดชาพร้อมดื่มและสินค้าใหม่  ส่วนยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 13.1% จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ในไตรมาส 2/2566

ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีอัตราต้นทุนขายลดลง จาการผลิตสินค้าที่มากขึ้นตามความต้องการของตลาด (Economy of scale) การปรับสูตรการลดน้ำตาลในบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ และราคาวัตถุดิบบางส่วนปรับลดลง อย่างไรก็ตามในส่วนของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าในช่วงครึ่งปีแรกลดลงเหลือ 10.5 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 44.6 ล้านบาท เนื่องจากมีการใช้งบสื่อสารทางการตลาดตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 ต่อเนื่องมา และการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงในอินโดนีเซีย

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3/2566 ยังคงส่งสัญญาณบวก ซึ่งบริษัทยังคงมุ่งเน้นทำการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมาย และมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่อีกหลาย SKU รวมทั้งธุรกิจ OEM ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาปิดดีลกับพันธมิตรรายใหม่อีกหลายบริษัท เพื่อสนับสนุนการผลิตและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อเนื่อง

นายตัน กล่าวอีกว่า ICHI พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดได้รับรางวัล Thailand Best Managed Companies 2023 จากดีลอยท์ ไพรเวท การันตีการเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ และมีส่วนสนับสนุนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของอิชิตัน ที่คว้ารางวัลใหญ่มาตรฐานระดับนานาชาติที่จัดขึ้นใน 46 ประเทศทั่วโลกมานาน 25 ปี รวมถึงรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 5 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม สะท้อนอิชิตัน กรีน แฟคทอรี เป็นโรงงานต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำองค์กรที่มีการดำเนินงานเพื่อส่งมอบคุณค่ากลับคืนสู่ผู้บริโภค ผู้ถือหุ้น และมีความรับผิดชอบต่อสังคม

ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด แนะนำ “ซื้อ” หุ้น ICHI กำหนดราคาเป้าหมาย 16.80 บาทต่อหุ้น จากกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2566 ที่ทำสถิติใหม่สูงสุด การออกสินค้าใหม่และลูกค้าจากการรับจ้างผลิตธุรกิจ OEM ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตได้ต่อเนื่อง ในส่วนของต้นทุนแพ็กเกจจิ้งเริ่มปรับลดลง และการปรับสูตรลดความหวานช่วยลดภาษีความหวานและต้นทุนน้ำตาลลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ยังได้คาดผลประกอบการจะเติบโต จากการออกสินค้าใหม่และการรับจ้างผลิตจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยที่ 23% ต่อปี (ในช่วง 3 ปีนี้) และคาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงในปี 2566 ที่ 3.4% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มเครื่องดื่มอยู่ที่ 2.9%

โดย ICHI ได้ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส  2/66 ที่ 256 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเติบโตทำสถิติใหม่สูงสุดต่อเนื่องในรอบ 7 ปี จากยอดขายในประเทศและส่งออกที่ดีขึ้น และการรับจ้างผลิตสินค้า OEM เพิ่มขึ้น ซึ่งรายได้ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 2,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน จากการออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง และการเปิดการท่องเที่ยวในประเทศ การทำโปรโมชั่นส่งผลต่อยอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงการรับจ้างผลิตประมาณ 3-4 ราย และการออกสินค้าใหม่เน้นเครื่องดื่ม healthy trend ได้แก่ อิชิตันคาเทชิน 0 cal, อิชิตันน้ำด่าง 8.5+CBD, ชิซึโอกะ เก็นไมฉะ+มัทฉะ และ ตันซันซุ เครื่องดื่มโซดากลิ่นโซจู เป็นต้น

สำหรับยอดส่งออกในกลุ่ม CLMV เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 63% จากไตรมาสก่อน จากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และการรับจ้างผลิต OEM เพิ่มขึ้น (ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 11% ของรายได้รวม) ขณะที่อัตรากำไร้ขั้นต้นก็เพิ่มขึ้นตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 69-70% จากไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 62% เนื่องจากช่วงฤดูร้อน และลูกค้า OEM รายใหม่ที่เข้ามา และการปรับสูตรลดน้ำตาลลง อีกทั้งต้นทุนแพ็กเกจจิ้งที่เริ่มปรับลดลง

ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของ ICHI คิดเป็น 55% ของกำไรทั้งปี ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 ฝ่ายวิเคราะห์คาดจะต่ำกว่าครึ่งปีแรก จากช่วง low season เข้าสู่ฤดูฝน อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการเดิม โดยคาดกำไรปี 2566 จะอยู่ที่ 874 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน และในปี 2567 จะมีกำไรสุทธิ 1,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากคาดรายได้ปี 2566-2567 เพิ่มขึ้นปีละ 14% จากธุรกิจเครื่องดื่ม RTD tea และ Non-tea ที่มีการออกสินค้าใหม่เน้นกลุ่ม healthy trend รวมถึงธุรกิจรับจ้างผลิตที่มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดอัตรามาร์จี้นดีขึ้นจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายการตลาดคาดเพิ่มขึ้นจากการออกสินค้าใหม่

อันดับ 3 บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน 2566  มีกำไรสุทธิ 156.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 115.83 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 66 มีกำไรสุทธิ 310.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น28.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 221.20 ล้านบาท

ด้านนายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ  SNNP เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาส 2/2566 มีกำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท หรือ 35% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิของบริษัทเท่ากับ 116 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141 ล้านบาท หรือ 11% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 1,339 ล้านบาท

ขณะที่งวด 6 เดือนของปี 2566 บริษัทฯมีกำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท หรือ 41% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนโดยมีกำไรสุทธิของบริษัทดังกล่าวอยู่ที่ 221 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 2,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 425 ล้านบาท หรือ 17% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 2,483 ล้านบาท

โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มาจากการที่ยอดขายของทุกผลิตภัณฑ์มีการเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ “เจเล่” ที่ทำยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และ เบนโตะ ที่สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และในช่วงต้นปีบริษัทฯบุกตลาด สร้างแบรนด์ “โลตัส” ให้เป็นอีกหนึ่งขาของฐานธุรกิจที่จะสร้างความแข็งแกร่ง ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2566 แนวโน้มรายได้ในปีนี้จะพุ่งแตะที่ระดับ 6,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2566 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.232 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้นประมาณ 223 ล้านบาท และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 8 กันยายน 2566

สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯประเมินว่าจะเติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากตลาดในประเทศมียอดขายเติบโตได้ตามเศรษฐกิจ และภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก รวมถึงจะเริ่มรับรู้รรายได้จากยอดขายสินค้าใหม่ที่เปิดตัวช่วงปลายไตรมาส 2/2566 และต้นไตรมาส 3/2566

ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังคงเดินหน้าสร้างการรับรู้ของตราสินค้า สร้างการกระตุ้นการบริโภครวมถึงการออกสินค้าใหม่ เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมาย และช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งปัจจัยดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปีนี้ บริษัทเตรียมสินค้าใหม่ ได้แก่ เมจิกฟาร์ม น้ำกระท่อม ซึ่งเป็นสินค้าตัวเดียวที่ได้รับเครื่องหมาย อย. จากองค์การอาหารและยา และสามารถผลิตและจำหน่ายในประเทศได้

สำหรับแนวโน้มในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง หลังจากในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากการออกสินค้าใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 2 ขณะที่ธุรกิจอาหารเสริม บริษัทมีแผนออกสินค้าใหม่ช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า หลังจากได้มีการออกสินค้าใหม่ออกวางตลาดแล้วช่วงก่อนหน้านี้

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ขณะนี้ได้คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SNNP กำหนดราคาพื้นฐานที่ 27.25 บาทต่อหุ้น โดยคาดกำไรสุทธิทำ New high ได้ต่อถึงไตรมาส 4/2566 จากการเปิดสายการผลิตเบนโตะ และ Jele ในเวียดนามในไตรมาส 3-4/2566 ตามลำดับ อีกทั้งยังประเมินว่า SNNP เป็นหุ้นที่หลบความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้ดีจากการเปิดสายการผลิตในเวียดนาม ดังนั้นจึงยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ SNNP

Back to top button