พาราสาวะถี
เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ คนที่ 30 หลังรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง กับวลีทองที่ว่า จะขอทำหน้าที่นายกฯ ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย
เหมือนจะเป็นคำมั่นสัญญา ทว่าความจริงสถานการณ์ทางการเมืองมันก็คือตัวบีบที่จะต้องให้ทำเช่นนั้น กรณีคำแถลงการณ์ของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หลังรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา กับวลีทองที่ว่า จะขอทำหน้าที่นายกฯ ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ นำพาประเทศไทยไปข้างหน้า และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของพวกเราทุกคน นับจากวันนี้เป็นต้นไป
ไม่ใช่เพียงแค่เศรษฐาเพียงคนเดียว หากแต่เป็นภาระอันหนักอึ้งของพรรคเพื่อไทยที่ผลักดันให้เจ้าตัวได้เป็นนายกฯ ด้วย เพราะการฉีกเอ็มโอยูกับ 8 พรรคร่วมเดิม แล้วพลิกข้ามมาจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิม ด้วยข้อกล่าวหาอันหนักหน่วงตระบัดสัตย์ ไม่เคารพฉันทามติประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง การแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์เท่านั้น จึงจะสามารถลบล้างผลแห่งการกระทำที่เกิดขึ้นนี้ได้ หน้าตาของ ครม.เศรษฐา 1 จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร
ไม่เพียงแต่กอบกู้ศรัทธาของพรรคเพื่อไทยกลับคืนมา ตัวเศรษฐาเองก็ต้องแสดงให้เห็นศักยภาพในความเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ถ้อยคำที่เปล่งออกมา “ผมขอยืนยันว่าผมจะทุ่มเททำงานตามมาตรฐานจริยธรรมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ผมมั่นใจว่า 4 ปีต่อจากนี้ จะเป็น 4 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง” จะได้รับความน่าเชื่อถือก็ต่อเมื่อปรากฏผลเป็นรูปธรรมแล้วเท่านั้น สิ่งแรกที่จะต้องโชว์ให้เห็นว่าทำตามสัญญาคือ การเติมเงินเข้ากระเป๋าประชาชนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต
ไม่เพียงแต่ผลของการโหวตที่เจ้าตัวได้คะแนนเสียงท่วมท้นเท่านั้น เสียงขานรับจากภาคเอกชนก็ถือว่ามีแนวโน้มที่ดี อยู่ที่ว่าจะให้เวลาสำหรับนายกฯ คนใหม่กันได้นานเท่าไหร่ 1 ปีจะต้องมีผลงานให้สัมผัสจับต้องได้ ความเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิด ที่ย้ำแล้วย้ำอีกนอกเหนือจากนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประกาศเจตนารมณ์ไปแล้วว่า จะนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม.นัดแรกก็ต้องดำเนินการโดยทันทีเช่นกัน
ขณะเดียวกันน่าสนใจต่อถ้อยแถลงของเศรษฐา ที่ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของตัวเองแต่ยังรวมไปถึงความมั่นใจในประสิทธิภาพของการทำงานจากการกุมบังเหียนของตัวเองและพรรคต้นสังกัดด้วย จึงกล้ายืนยันให้คำมั่นว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จะทำงานอย่างหนักเพื่อบำบัดความทุกข์ สร้างความสุข นำพาความเจริญให้กับประชาชนคนไทยและคนทุกกลุ่ม อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นดินแดนแห่งความสุขของคนทุกวัย เป็นประเทศที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในเวทีนานาชาติอีกครั้งหนึ่ง
เรียกได้ว่าท่วงทำนองเปิดตัวของนายกฯ คนที่ 30 ได้แสดงให้เห็นถึงการทำการบ้าน และเตรียมตัวเพื่อลุยงานอย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่มีเวลาฮันนีมูนสำหรับรัฐบาลพิเศษตามที่เพื่อไทยประกาศไว้ เป็นการวางจังหวะเคลื่อนที่เข้าใจบริบทการเมืองในแง่ของบทบาทคนรุ่นใหม่ที่จะต้องเปิดใจรับฟัง และเปิดเวทีให้ได้มีส่วนร่วมกับการเสนอแนะความเห็นในหลาย ๆ เรื่องได้ ตลอดจนการมองเห็นปัญหาจากสิ่งที่รัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจทำไว้ตลอดระยะเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมา
ประเด็นการยอมรับจากนานาอารยะประเทศถือเป็นหัวใจสำคัญ ต้องยอมรับความจริงกันว่าไม่เพียงแต่การมีผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่เป็นอุปสรรคต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของต่างชาติเท่านั้น หากแต่นโยบายด้านการต่างประเทศ และท่าทีของผู้ที่ทำหน้าที่ด้านการต่างประเทศก็ถือว่าไม่ได้เน้นสร้างมิตร ผูกไมตรีกับประเทศต่าง ๆ เหมือนในอดีต จนเป็นเหตุให้เกิดการตั้งแง่ ไม่อยากคบค้าสมาคมกับประเทศไทย ที่เป็นอยู่ก็แค่การรักษามารยาททางการทูต และเจรจา หารือเฉพาะที่เป็นผลประโยชน์แก่ประเทศนั้น ๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งเชื่อมั่นว่าการเข้ามาบริหารประเทศของเพื่อไทยจะสามารถทำได้เหมือนยุคสมัยที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำ เพราะเสียงของพรรคแกนนำกับพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ห่างกันจนมีอำนาจเด็ดขาดได้เหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย ไม่เพียงเท่านั้น เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลเที่ยวนี้ไม่ได้มีเฉพาะการให้เพื่อไทยได้เข้ามาถืออำนาจรัฐ แต่ยังพ่วงด้วยการที่อดีตนายกฯ คนที่ 23 ได้กลับประเทศ จนเกิดเสียงวิจารณ์กันกระหึ่มเวลานี้ว่า การกลับมารับโทษและติดคุกดูเหมือนจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษระดับวีวีไอพีด้วยซ้ำไป ภาพของนายกฯ คนที่ 30 เข้าพบผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจชื่นมื่นน่าจะบอกอะไรบางอย่างได้
สำหรับโผ ครม.ที่หลุดลอดออกมาเวลานี้ ค่อนข้างที่จะชัดในส่วนของเพื่อไทย เศรษฐาจะนั่งคุมกระทรวงคลังด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตไม่สะดุดแน่ แต่ก็จะใช้โควตาคนนอกมาทำหน้าที่ช่วยว่าการแทน ส่วนกระทรวงกลาโหมถือเป็นการวัดใจใช้พลเรือนนักการเมืองผู้คร่ำหวอดอย่าง สุทิน คลังแสง ไปว่าการ บรรดาขุนทหารทั้งหลายคงไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไรมากนัก เพราะโผแต่งตั้งโยกย้ายภายในกองทัพเวลานี้ฝ่ายการเมืองก็เข้าไปล้วงลูกไม่ได้เหมือนในอดีตแล้ว
ที่ขึ้นชั้นมาและถือว่าเป็นการต่างตอบแทนที่คุ้มค่าน่าจะเป็นรายของ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ลูกสาววีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคมที่หอบครอบครัวหนีจากการเป็นนายทุนพรรคภูมิใจไทยมาเป็นสมาชิกเพื่อไทยกันทั้งหมด ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่วน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นเชนคัมแบ็คกลับไปคุมคมนาคม ลุ้นกว่าใครเป็นราย สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่อยากจะคุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่เป็นที่หมายปองของพรรคสืบทอดอำนาจและภูมิใจไทย
แต่ว่ากันว่า ผลพวงจากที่ สว.สายพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ไม่มาตามนัด เก้าอี้นี้จากเดิมทีที่จองไว้ให้ ธรรมนัส พรหมเผ่า น่าจะเปลี่ยนมือมาให้ อนุทิน ชาญวีรกูล แทน หรืออาจจะแลกให้สมศักดิ์มานั่งแล้วเสี่ยหนูไปว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรายของพี่ใหญ่แม้ว่าขุนพลคู่ใจจะไม่ได้ตำแหน่งที่ต้องการ คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะน้องชายร่วมสายเลือด มือประสานสิบทิศของพรรค พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จะได้นั่งรองนายกฯ ควบว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั่นเอง เวลายังเหลือการต่อรองยังคงฝุ่นตลบ โผยังพลิกไปพลิกมาได้ทุกเมื่อ