โบรกมอง “อสังหา” ฟื้นแรงไตรมาส 4 ชู SPALI-ORI ท็อปพิก
“บล.เอจีไอ” มองกลุ่มอสังหาฯ ยังอ่อนตัวช่วงไตรมาส 3 ก่อนจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการใหม่เยอะขึ้น พร้อมชู SPALI-ORI เป็นท็อปพิกกลุ่ม เนื่องจากมีแบ็กล็อกรอรับรู้รายได้จำนวนมาก
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินเกี่ยวกับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงไตรมาส 4/66 เนื่องจากบริษัทอสังหาฯ หลายแห่งได้เลื่อนการเปิดโครงการใหม่ไปในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตาม คาดการฟื้นตัวนับจากเดือนกันยายน 2566 เป็นต้นไปหลังการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว
ด้านกำไรสุทธิรวมของกลุ่มในไตรมาส 3/66 คาดอ่อนแอทั้งจากไตรมาสก่อนและปีก่อน ตามอุปสงค์ที่หดตัว ไม่มีกำไรพิเศษเด่นชัดและมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ก่อสร้างเสร็จน้อย
ขณะที่คาดไตรมาส 4/66 น่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ด้านยอดจอง (presales) การเปิดโครงการใหม่ และรายได้แรง หนุนจากเซนติเมนต์ดีขึ้นหากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมทั้งคาดมีกำไรพิเศษของ LH และ ORI
ทั้งนี้ SPALI, AP และ ORI ล้วนมีแบ็กล็อกในมือพร้อมโอนอยู่สูงอย่างมีนัยยะที่ 80-90% ของยอดรายได้ปี 66 และยิ่งเซนติเมนต์ฟื้นตัวได้รวดเร็วคาดมีอัพไซด์ต่อประมาณการณ์ ในทางตรงกันข้ามกับของ LH, PSH และ LPN มีแบ็กล็อกน้อย ดังนั้นผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จึงขึ้นอยู่กับยอดขายที่อยู่อาศัยพร้อมโอนและการเปิดโครงการใหม่เป็นหลัก ทั้ง AP และ LH ในแต่ละรายมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4/66 ที่มูลค่าราว 3.0 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ามีมูลค่าสูงที่สุดในกลุ่มบริษัทอสังหา ฯ
พร้อมกันนี้ บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่ก่อตั้งมายาวนานด้วยอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (net gearing ratio) ต่ำได้แก่ AP,QH, PSH, LH และ SPALI ถือว่ามีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยต่ำโดยเปรียบเทียบที่ 3% ทำให้มีความได้เปรียบในการเติบโต แม้ว่าสถาบันการเงินจะควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจที่เข้มงวดมากขึ้น
ขณะที่บริษัทอสังหา ฯ ที่เติบโตเร็วและบริหารเชิงรุกและมี net gear ing ratio สูงมากกว่า 1 เท่าจะมีต้นทุนทางการเงินสูงกว่าอยู่ราว 4.0 5.5% ขณะที่ภาระการจ่ายดอกเบี้ยโดยรวมในครึ่งแรกของปี 66 เพิ่มขึ้นถึง 43% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กล่าวคือปัจจุบันต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.5ppt ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นจากการที่ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นภายหลังจากปรับเปลี่ยนด้วยการกู้ธนาคารพาณิชย์แทนการการออกหุ้นกู้ (debentures) ส่งผลให้การขยายธุรกิจอาจทำได้ช้าลง
ด้านอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิรวมในไตรมาส 2/66 เพิ่มขึ้นตามคาดที่ 7% และ 21% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามลำดับ แต่เมื่อนับช่วงครึ่งแรกของปี 66 พบว่ารายได้รวมลดลง 6% จากปีก่อน เป็น 3.78 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิต่ำลง 10% จากปีก่อน อยู่ที่ 7.4 พันล้านบาท
ขณะที่ฝ่ายวิจัยคาดอัตราการเติบโตของกำไรในไตรมาส 3/66 ยังไม่น่าตื่นเต้นยกเว้นกรณีของ SPALI ที่จะมีอัตราการเติบโตกำไรจากไตรมาสก่อนเป็นเลขสองหลักได้แรงหนุนจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 แห่ง ในขณะที่คาดเห็นการฟื้นตัวเด่นของทุกบริษัทในไตรมาส 4/66 โดยเฉพาะ LH และ ORI ที่มีอัตราการเติบโตของกำไรโดดเด่นที่สุดจากการที่มีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุน
ทั้งนี้ คงคำแนะนำซื้อ SPALI และ ORI โดยเลือกให้เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่ม อย่างไรก็ตามยังไม่ได้ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายไปเป็นสิ้นปี 67