KJL บวก 5% โบรกแนะ “ซื้อ” ชูเป้า 12 บาท ชี้กำไร “นิวไฮ” ถึงปี 69

KJL บวก 5% โบรกมองไตรมาส 3 กำไรทะลุ 45 ล้านบาท รุกขยายกำลังผลิตเป็น 40 ล้านชิ้น/ปี ภายในปี 68 หลังรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดกำไรนิวไฮยาวถึงปี 69 แนะซื้อราคาเป้าหมาย 12 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (31 ส.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ล่าสุด ณ เวลา 11:10 น. อยู่ที่ระดับ 10.20 บาท บวก 0.45 บาท หรือ 4.62% สูงสุดที่ระดับ 10.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.95 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 64.78 ล้านบาท

ทั้งนี้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น หลัง บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 67 และคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 12.40 บาท อานิสงส์จาก แผนการเพิ่มกำลังการผลิตหลังการเข้าตลาดหุ้นไทย ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิต 50% เป็น 30 ล้านชิ้น/ปี ภายในปี 66 ปัจจุบันการขยายกำลังการผลิตทำได้ดีกว่าแผน โดยเดือน ก.ค. สามารถขยายกำลังการผลิตไปแล้ว 27 ล้านชิ้น/ปี ขณะที่การใช้อัตรากำลังการผลิตยังทรงตัวสูงที่ 70-75% และยังต้องมีการทำงานล่วงเวลาในบางช่วงสะท้อนถึงปริมาณความต้องการของลูกค้ายังสูง

ขณะเดียวกัน แม้ว่าปริมาณงานในตลาดลดลงตามภาวะตลาดที่ขาดแรงกระตุ้นจากรัฐบาล ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ไฮซีซั่น (High season) ในเดือน ก.ย. คาดกำไรของ KJL จะทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 42 ล้านบาทบวกลบ ในไตรมาส 3/66 และไฮซีซั่นยังต่อเนื่องถึงเดือน ต.ค. และ พ.ย. และคาดว่างานของลูกค้าจะเริ่มมากขึ้นทั้งภาครัฐฯ และเอกชน หลังจากที่ได้รัฐบาลใหม่ พร้อมทั้งจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนคาดกำไรสุทธิทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 45 ล้านบาทบวกลบ หากเป็นไปตามคาดจะทำให้ประมาณการกำไรปี 66 มี Upside risk ราว 7%

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตจาก 30 ล้านชิ้น/ปี ในปี 66 เป็น 40 ล้านชิ้น/ปี ภายในปี 68 และการขยายกำลังการผลิตทั้งหมดจะเห็นผลเต็มในปี 69 ทำให้คาดว่ากำไรของ KJL จะสามารถทำระดับสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องถึงปี 69 แม้ว่าตลาดอาจไม่เติบโตแต่เครือข่ายที่สร้างตั้งแต่ปี 66 จะหนุนรายได้เติบโตได้แม้ในตลาดมูลค่าเท่าเดิม แต่ประเมินว่าการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ โรงแรม โรงพยาบาล โรงงาน Data center และโรงไฟฟ้าในประเทศไทย น่าจะกลับมาเติบโตได้ในอัตราเร่งหลังได้รัฐบาลใหม่ซึ่งจะเป็น Upside risk ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเช่นกัน ปัจจุบันราคา PE ปี 66 ต่ำพียง 15.1 เท่า และปี 67 อยู่ที่ 12.8 เท่า อิง PER ที่ 16.3 เท่า

Back to top button