TACC มีศักยภาพ
ไม่ผิดหวัง กับหุ้น TACC นับตั้งแต่วันแรกวันที่ 2 ธ.ค.58 ราคาหุ้นปิดเหนือจองที่ 3.88 บาท จากราคา IPO อยู่ที่ 2.88 บาท พูดได้ว่า เจ่งจริงๆๆๆ
–คุณค่าบริษัท–
ไม่ผิดหวัง กับหุ้น TACC หรือบริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) นับตั้งแต่วันแรกวันที่ 2 ธ.ค.58 ราคาหุ้นปิดเหนือจองที่ 3.88 บาท จากราคา IPO อยู่ที่ 2.88 บาท พูดได้ว่า เจ่งจริงๆๆๆ
แม้ว่าวันต่อมา อาการของราคาหุ้นทำถ้าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่ก็ยังสามารถประคับประคองไม่ได้ต่ำกว่าราคาจองอยู่ จนมาถึงวันที่ 4-11 ธ.ค. 58 ราคาหุ้นกลับวิ่งฉลุยต่อเนื่อง และราคาหุ้นสามารถมายื่นเหนือกว่า 5 บาท ส่วนกระแสของภาวะตลาดหุ้นกดดัน (แดง) มาตลอดช่วงระยะนั่นๆ ขณะที่ช่วงระยะวันที่ 14-18 ธ.ค.58 จะเป็นช่วงย่อตัวของราคาหุ้นแต่ก็ยังสามารถประคองไม่ให้หลุด 4.50 บาท
นี้อาจเป็นเพราะ บริษัทมีการประชาสัมพันธ์หุ้นทั่วถึงถึงนักลงทุน มีที่ปรึกษาการเงินที่ดี อันเดอร์ไรเตอร์ที่ดี พร้อมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่แข็งแกร่ง รวมถึงศักยภาพการเติบโตในอนาคตทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจต่อตัวบริษัท
เดิมส่วนของธุรกิจเดิมที่เป็นเครื่องดื่นในโถกดที่เป็นรายได้หลักของบริษัทจะมียอดขายเติบโตได้อีก 7-8% ตามการขยายตัวของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่ปัจจุบันมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 8,000 สาขา
ส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ประมาณ 483.84 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจเบื้องต้นบริษัทจะใช้เงินลงทุน 120 ล้านบาท เพื่อติดตั้งตู้กดเครื่องดื่มแบบอัตโนมัติ Vending Machine ซึ่งเป็นเครื่องดื่มร้อนประเภทชาและกาแฟภายในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เฟส 1 จำนวน 1,500 สาขา และส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไป
ขณะที่ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรจะสามารถเติบโต 20% จากปีนี้ โดยจะมาจากการรับรู้รายได้จากตู้กดเครื่องดื่มแบบอัตโนมัติ ที่คาดว่าภายในสิ้นปีหน้าจะสามารถติดตั้งได้จำนวน 750 เครื่อง และจะส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่อยู่ที่ 10% จากรายได้รวม
ประกอบกับบริษัทจะเน้นขยายตลาดไปยังต่างประเทศภายใต้แบรนด์ “สวัสดี” ที่เป็นเครื่องดื่มปรุงสำเร็จชนิดผงผสมเนื้อทุเรียนและมะม่วง ซึ่งจะเน้นบุกตลาดที่มีประชากรจีนอาศัยอยู่เป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มปรุงสำเร็จชนิดผงตรา “ณ อรุณ” ที่จำหน่ายไปในร้านอาหารไทยในทั่วโลกอีกด้วย โดยบริษัทยังได้ตั้งเป้าภายในปีหน้าจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 20% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 15%
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 248.09 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 254.61 ล้านบาท แต่บริษัทกลับมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 15.33 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 7.56 ล้านบาท หรือ 0.08 บาทต่อหุ้น
ส่วนของผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 745.42 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 770.48 ล้านบาท แต่บริษัทกลับมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 54.29 ล้านบาท หรือ 0.21 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 30.61 ล้านบาท หรือ 0.35 บาทต่อหุ้น เป็นการยืนยันว่า บริษัทมีศักยภาพการเติบโตที่ดี
สำหรับฐานะทางการเงินของบริษัทยังดูดี เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน 241.59 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียน 175.42 ล้านบาท ได้ค่า current ratio อยู่ที่ 1.38 เท่า ถือบริษัทมีสภาพคล่องพอสมควร ขณะที่ปัญหาหนี้สินถือว่าไม่น่าเป็นห่วง แม้มีหนี้สินรวม 197.34 ล้านบาท นำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 131.26 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ 1.51 เท่า ถือว่าปัญหาที่มีเป็นการขยายธุรกิจจึงไม่น่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ เชื่อว่า ราคาหุ้น TACC ในอนาคตอาจขึ้นอย่างสดใส ด้วยแรงผลักดันจากผลการดำเนินงานที่จะเติบโตต่อเนื่องซึ่งจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกที่ดีให้แก่นักลงทุนในอนาคตได้อย่างแน่นอน
…
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
1.นายชัชชวี วัฒนสุข 178,645,143 หุ้น 29.38%
2.นายทนุธรรม เกียรติไพบูลย์ 109,473,143 หุ้น 18.01%
3.นายไชยเชษฐ์ สีวลีพันธ์ 35,795,429 หุ้น 5.89%
4.นายชนิต สุวรรณพรินทร์ 27,138,572 หุ้น 4.46%
5.นายณัฐจักร์ เลียงชเยศ 24,968,571 หุ้น 4.11%
รายชื่อกรรมการ
1.พล.ร.อ. อภิชาติ เพ็งศรีทอง ประธานกรรมการ
2.พล.ร.อ. อภิชาติ เพ็งศรีทอง กรรมการอิสระ
3.นาย ชนิต สุวรรณพรินทร์ กรรมการผู้จัดการ
4.นาย ชนิต สุวรรณพรินทร์ กรรมการ
5.นาย ชัชชวี วัฒนสุข กรรมการ