บจ.น้องใหม่ไซซ์กลาง-เล็ก จ่อคิวเทรดเพียบ
แนวโน้ม IPO ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงคึกคัก แต่หุ้นใหม่ที่เข้ามาซื้อขายจะเป็นบริษัทกลาง-เล็กเป็นหลัก
เส้นทางนักลงทุน
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา “ดร.ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้กล่าวในงานสัมมนา KAsset Investment Forum : ปรับพอร์ตรับโลกเปลี่ยน 2024 จัดโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย ถึงมุมมองที่มีต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย และแนวโน้มบริษัทที่จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering : IPO) ในช่วงที่เหลือของปี 2566
สำหรับมุมมองที่มีต่อภาพใหญ่ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยแตกต่างจากในช่วงที่ผ่าน ๆ มา โดยมีการฟื้นตัวแบบ K-Shaped เครื่องยนต์ขับเคลื่อนภาคส่งออกไม่ค่อยดี ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังกลับมาได้ไม่เต็มที่ ทำให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นการลงทุนจึงต้องเลือกเป็นรายกลุ่ม
เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาโตต่ำกว่า 3% เกือบทุกปี แต่กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังคงสามารถทำกำไรได้ดี เนื่องจากบจ.หลายแห่งไม่ได้ทำธุรกิจภายในประเทศอย่างเดียว แต่มีรายได้จากต่างประเทศด้วย บจ.มีกำไรจากต่างประเทศเฉลี่ยเกือบ 40% หรือในบางบริษัทมีกำไรจากต่างประเทศมากกว่า 50% เช่น กลุ่มการเกษตรและอาหารมีกำไรจากต่างประเทศถึง 81% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 53%
และบจ.ที่ทำธุรกิจบริหารได้ดีในเรื่องของความยั่งยืน (sustainability) เป็นกลุ่มที่มีผลประกอบค่อนข้างดีมาก สะท้อนว่าการลงทุนในบริษัทที่มีการบริหารด้านความยั่งยืนที่ดีจะได้ผลตอบแทนที่ดีด้วย
ส่วนโมเมนตัมหุ้น IPO นั้น จะเป็นบริษัทขนาดเล็กจำนวนมากที่เข้ามาระดมทุน โดยไม่มีบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งภาพรวม 8 เดือนแรกของปีนี้ มีบริษัทที่ขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในทั้ง 2 ตลาดแล้ว 22 บริษัท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 20,544 ล้านบาท (ณ 25 สิงหาคม 2566) หรือมากกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ ในปี 2565 ตลาดหุ้นไทยรั้งอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สามารถระดมทุนได้มากที่สุดในภูมิภาค มีมูลค่ากว่า 3,459 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีบริษัทเสนอขายหุ้น IPO จำนวนมากถึง 42 บริษัท ขณะที่ในปี 2564 มีมูลค่าการระดมทุน 4,103 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากจำนวนบริษัทที่เสนอขายหุ้นใหม่ 41 บริษัท
ก่อนหน้านี้ ตลาดทุนไทยจะมีการระดมทุน 2 หุ้น IPO ขนาดใหญ่ ซึ่งได้พับแผนไปแล้ว คือการ Spin-off บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ออกจากบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และบมจ.บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น (BRC) ออกจากบมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ที่ประกาศเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม
โดย SCC มองว่าการขาย IPO หุ้น SCGC ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ความพร้อมของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่จะรองรับ IPO ขนาดใหญ่จากบริษัทไทย รวมถึงสถานการณ์ภายนอก เช่น ด้านเศรษฐกิจและวิกฤตราคาพลังงาน
ขณะที่ BJC ชะลอแผนเสนอขาย IPO หุ้น BRC เพราะสถานการณ์ตลาดทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีความผันผวนจากสภาวะเศรษฐกิจโลกโดยภาพรวม ดังนั้นการระดมทุนด้วยไซซ์ IPO ขนาดใหญ่ อาจไม่ประสบความสำเร็จ
“ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้รวบรวมข้อมูลทั้งในส่วนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบว่า ปัจจุบันมีบริษัทขนาดกลาง-เล็กไม่น้อยกว่า 52 แห่ง ที่จ่อคิวขายหุ้น IPO และเตรียมเข้าซื้อขาย (เทรด) ในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 2 แห่ง
เฉพาะในเดือนกันยายน 2566 จะมีอย่างน้อย 2 บริษัทที่จะเข้ามาเทรดวันแรก เช่น บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ (GFC) ที่ขายหุ้น IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น ราคา 7 บาท มีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ตามแผนที่วางไว้คือวันที่ 13 กันยายนนี้
และ บมจ.ไทยโคโคนัท (COCOCO) ขายหุ้น IPO จำนวน 370 ล้านหุ้น ราคาจอง 5.50 บาท มีบริษัท ฟิน พลัส แอดไวเซอรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ที่จะเทรดวันแรกภายในเดือนนี้เช่นกัน
ส่วนบริษัทที่ยังไม่กำหนดวันเทรดบางแห่งอยู่ระหว่างรออนุมัติไฟลิ่ง เช่น บมจ.เจนก้องไกล (JPARK) ขาย 110 ล้านหุ้น, บมจ.เอสเตติก คอนเนค (TRP) ขาย 90 ล้านหุ้น, บมจ.นำวิวัฒน์ เมดิคอล (NAM) ขาย 181 ล้านหุ้น, บมจ.สิริซอฟต์ (SRS) ขาย 40 ล้านหุ้น และ บมจ.สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ (SAV) ขาย 224 ล้านหุ้น โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์, บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์, บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่, บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ และ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม IPO ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงคึกคัก แต่หุ้นใหม่ที่เข้ามาซื้อขายจะเป็นบริษัทกลาง-เล็กเป็นหลัก