ช่วงสั้น SET เคลื่อนไหวในกรอบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่
เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วเริ่มกลับมาเสี่ยงภาวะ Stagflation มากขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ต้องคงหรือขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอลง
InnovestX มองว่า เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วเริ่มกลับมาเสี่ยงภาวะ Stagflation มากขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ต้องคงหรือขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอลง โดยเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นเป็นผลจากค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง ผลจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากพิจารณาเงินเฟ้อในองค์ประกอบหลักที่ประธาน Fed ใช้ชี้วัดแล้วนั้น พบว่า เงินเฟ้อที่เป็นองค์ประกอบด้านการผลิต (supply-side) โดยเฉพาะอาหารและพลังงานนั้น เร่งตัวขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 0.88% ของเงินเฟ้อที่ 3.7% ขณะที่องค์ประกอบด้านบริการ จากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านและค่าจ้างลดลงต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อที่กลับมาขึ้นเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นหลัก เช่นเดียวกับดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐฯ ที่กลับมาเร่งตัวขึ้นที่ 1.6% จาก 0.8% ผลจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นกว่า 20% ขณะที่ในฝั่งยุโรป การที่ ECB ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็น 4% ท่ามกลางการปรับประมาณการเงินเฟ้อในปีนี้ขึ้นจาก 5.4% เป็น 5.6% และเศรษฐกิจลงจาก 0.9% เป็น 0.7% บ่งชี้ถึงความเสี่ยง Stagflation มากขึ้น
ทั้งนี้ InnovestX มองว่า หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปยังคงสูงหรือปรับขึ้น อาจทำให้เงินเฟ้อทรงในระดับสูงและลดลงได้ยากมากขึ้น และเป็นผลให้ Fed ยังคงส่งสัญญาณ Hawkish biased ซึ่งจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนได้ ในประเด็นเงินเฟ้อจีนที่กลับมาเป็นบวกในเดือน ส.ค. InnovestX มองว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจจีนที่อาจฟื้นตัวขึ้นบ้างในเชิงวัฏจักร ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการภาคอสังหาฯ และการลด RRR ที่อาจทำให้เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัว 5% ในปีนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยง 3 ประการหลัก คือ (1) ภาคอสังหาฯ (2) หนี้ประชาชาติที่สูง และ (3) นโยบายรัฐที่มุ่งเน้นเสถียรภาพภายในมากกว่าการขยายตัว (Inward policy) ทำให้เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะ “ทศวรรษที่หายไป” ในระยะยาว
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่าช่วงสั้น SET จะยังเคลื่อนไหวในกรอบ 1540-1580 จุด หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ ๆ เข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน และอยู่ระหว่างรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ นำโดย FED (21 ก.ย.) BoE (21 ก.ย.) และ BoJ (22 ก.ย.) ทั้งนี้ InnovestX คาด FED จะมีมติคงดอกเบี้ยตามตลาดคาด ขณะที่ BoE และ BoJ จะยังดำเนินการใช้นโยบายการเงินตึงตัวต่อไป ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1.หุ้นที่คาดได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (ลดค่าไฟและราคาน้ำมันดีเซล พักหนี้เกษตรกรฯ ยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน) อีกทั้งครึ่งปีหลัง 2566 คาดกำไรจะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน หรือกำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เลือก CPALL, CRC, OSP, HTC, AOT, ERW, KCE และ HANA
2.หุ้น Top Picks ในไตรมาส 4/2566 เลือก AOT, BCH, CRC, KCE และ KTB
3.หุ้นเก็งกำไรจากกำลังซื้อของตลาดตะวันออกกลางที่ดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น (ธีมปิโตรดอลลาร์) เลือก AH, BH, PTTEP และ BCP