พาราสาวะถี
การเมืองเรื่องของอำนาจ หากใครยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่การมีตำแหน่งแห่งหน อย่าเพิ่งประกาศตนว่าเป็นคนดี มีอุดมการณ์
การเมืองเรื่องของอำนาจ หากใครยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่การมีตำแหน่งแห่งหน อย่าเพิ่งประกาศตนว่าเป็นคนดี มีอุดมการณ์ กรณีของ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ถูกตรวจสอบปมพาคณะไปดูงานสิงคโปร์ด้วยงบประมาณ 1.3 ล้านบาท อาจดูไม่มากมาย แต่ฝ่ายที่ติดตามแนวทางและนโยบายทางการเมืองของพรรคก้าวไกลตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจ ไหนโฆษณาหาเสียงว่าจะไม่ใช้งบประมาณแผ่นดินไปในการดูงานต่างประเทศ หรือทัวร์นอก
กรณีที่เกิดขึ้นมันจึงเป็นเรื่องย้อนแย้ง รายของหมออ๋องมีประเด็นให้วิจารณ์มาตั้งแต่คราวใช้งบประมาณเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านรัฐสภาแล้วหนหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าเจ้าตัวจะแถลงชี้แจงอย่างไร คนจำนวนไม่น้อยคงจะอดสงสัยต่อจุดยืนทางการเมืองของโดยส่วนตัวและพรรคต้นสังกัดไม่ได้ หรือว่านี่จะเป็นการสร้างประเด็นเพื่อทำให้เห็นว่าตัวของรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ขัดแย้งและไม่ยึดมั่นในหลักการเป็นเหตุให้ก้าวไกลต้องขับออกจากพรรค โดยยังคงสถานะ สส.และสามารถมีหัวโขนในเก้าอี้ดังกล่าวต่อไปได้ภายใต้พรรคสังกัดใหม่
เช่นเดียวกันกับฝ่ายบริหาร รัฐมนตรีหน้าใหม่หลายรายกำลังถูกจับตา จะมีการบริหารอำนาจไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ เหนืออื่นใดคือปัญหาของคนใกล้ตัว บริวารแวดล้อมทั้งหลายยังคงจะใช้ตำแหน่งหัวโขนที่มีไปทำมาหากินกันเป็นล่ำเป็นสันเหมือนยุคที่ผ่านมาหรือไม่ แต่เชื่อได้ว่าพฤติกรรมแบบนี้ยังมีกันต่อไป เพียงแค่อาจจะหากินกันยากขึ้น เพราะองค์กรที่ตรวจสอบจะขะมักเขม้นทำงานกอบกู้ศักดิ์ศรีกันมากขึ้น หลังจากที่จงใจเกียร์ว่างกันมากว่า 9 ปี
ยังคงเมามันกับการเดินหน้าประชานิยมที่เป็นเรื่องถนัด ติดใจหลังจากที่สามารถลดค่าไฟฟ้าได้สองหนผ่านการประชุม ครม.แค่สองนัด พร้อมกับการลดราคาน้ำมันดีเซลเหลือลิตรละไม่ถึง 30 บาท เป็นการช่วยลดภาระของประชาชนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าการดำเนินการในสองเรื่องดังว่าอยู่ภายใต้การบริหารของพรรคร่วมรัฐบาลที่เริ่มตีกินเป็นผลงานรัฐมนตรีของพรรคตัวเองกันโครมครามแล้ว
ดังนั้น เศรษฐา ทวีสิน จะต้องเร่งขับเคลื่อนส่วนงานที่เป็นนโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทย ทั้งดิจิทัลวอลเล็ตและพักหนี้เกษตรกร เงื่อนเวลา 10 วันตามที่ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยคลังบอกว่าคณะทำงานศึกษาทั้งสองเรื่องจะเร่งสรุปเพื่อส่งผลให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาอาจจะช้าไป เนื่องจากฝ่ายตรวจสอบและกองแช่งต่างก็หาเหตุดักคอว่า คงทำไม่ได้มิเช่นนั้นคงไม่ลีลา ดึงเกมกันอย่างนี้ เป็นโจทย์ที่พรรคแกนนำรัฐบาลของประชาชนต้องหาคำตอบให้เกิดความกระจ่างให้ได้ในเร็ววัน
ไม่ต่างกันกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รายชื่อภาคประชาชนกว่า 2 แสนรายชื่อที่ยื่นผ่าน กกต.เพื่อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ยืนยันว่าได้ส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแจ้งผลความคืบหน้าว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อกรณีนี้ บรรจุเข้าสู่วาระและจะนำไปสู่ขั้นตอนอย่างไร ที่ ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญบอกว่า ต้องฟังความเห็นรอบด้านนั้น หมายความว่า จะไม่เร็วอย่างที่เคยหาเสียงไว้ใช่หรือไม่
คำพูดที่ว่าไม่เกิน 4 ปีนั้น เหมือนเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจที่จะแก้ไข และจะกลายเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบยกมาโจมตี ภายในกรอบเวลาไม่เกิน 3 เดือนนั้น ต้องมีความชัดเจนทั้งตัวของผู้ที่จะมาร่วมเป็นกรรมการ และมีแนวทางที่สามารถบอกกล่าวกับสังคมได้ว่า แต่ละเรื่องนั้นจะมีระยะเวลาในการดำเนินการเท่าใด ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามความเห็นจากพวกลากตั้ง สส. ภาคเอกชน แต่ทั้งหมดความสำคัญมันอยู่ที่ต้องถามประชาชนผ่านกระบวนการทำประชามติ
หากยึกยักยืดเยื้อยิ่งจะทำให้เพื่อไทยเสียรังวัด และถูกตีตราว่าสมยอมไม่กล้าที่จะแก้ไขมรดกของเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรืออีกนัยหนึ่งคือพยายามที่จะดึงเวลาเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจบริหารประเทศต่อไปให้นานที่สุด ทั้งที่ในแวดวงและภายในพรรคแกนนำรัฐบาลเองต่างก็มองอนาคตไว้แล้วว่า น่าจะมีการปรับ ครม.ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีเสียด้วยซ้ำ เห็นเค้าลางความไม่ลงรอยจากการแบ่งงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้วก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ซีกของเพื่อไทยอีกปัจจัยที่ทำให้ไม่บุ่มบ่ามแม้จะได้อำนาจฝ่ายบริหารตามที่ต้องการแล้ว คงเป็นเรื่องของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังคงพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ จนเริ่มที่จะมีกลุ่มไม่เอาระบอบทักษิณออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการชี้แจงรายละเอียดว่าอดีตนายกฯ ป่วยจริงหรือไม่ ซึ่งล่าสุดก็มีการยืนยันจาก พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจว่า เจ้าตัวได้เข้ารับการผ่าตัด จากหลายอาการ หลายสาเหตุ แต่ขณะนี้อาการอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นใครที่จะไปเรียกร้องว่าต้องส่งตัวกลับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คงต้องทบทวนกันใหม่
ด้วยเหตุที่มีเจ้าของพรรคตัวจริงเป็นเงื่อนไขนี่เอง จึงทำให้เพื่อไทยขยับตัวในหลายเรื่องลำบาก และทำให้บรรดากองเชียร์รวมทั้ง สส.ในพรรคเข้าใจว่า ทำไมหลายกระทรวงจึงต้องยอมให้พรรคร่วมได้ไปครอบครอง แต่เศรษฐาและคณะผู้บริหารพรรคก็จะพยายามปั๊มผลงานด้านเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชนให้เป็นที่ประจักษ์เพื่อลดข้อครหาด้านอื่น ซึ่งหลังจากที่ได้หัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว จะได้เห็นการขับเคลื่อนงานด้านการเมืองเชิงรุกคู่ขนานกับการทำงานของรัฐบาลมากขึ้น
คดีกำนันนกที่ถูกโอนจากสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐมมาให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางดูแลนั้น ยืนยันจาก พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ไม่ใช่การลิดรอนอำนาจของ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพราะบิ๊กโจ๊กยังกำกับดูแลงานด้านการสืบสวนสอบสวนมีอำนาจเหมือนเดิม เหตุผลที่ต้องโอนคดีเพราะนี่เป็นเรื่องของผู้มีอิทธิพล การมอบหมายให้ตำรวจสอบสวนกลางทำแทนจึงน่าจะทำให้สำนวนในคดีรัดกุม มีระบบและรักษาความลับได้ดีกว่า ที่สำคัญงานนี้ไม่มีมวยล้มต้มคนดูแน่นอน เพราะตำรวจที่ถูกฆ่าคือนายตำรวจตงฉินสายตรงของ “บิ๊กก้อง” พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางนั่นเอง