พาราสาวะถี

เพิ่งเขียนถึงการเมืองว่าด้วยเรื่องของการใช้อำนาจไปวันวาน กรณี “หมออ๋อง” กับการถูกวิจารณ์นำคณะไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์


เพิ่งเขียนถึงการเมืองว่าด้วยเรื่องของการใช้อำนาจไปวันวาน กรณี “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กับการถูกวิจารณ์นำคณะไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ทั้งที่พรรคก้าวไกลต้นสังกัดของตัวเองชูนโยบายหาเสียงไม่ใช้งบประมาณแผ่นดินไปทัวร์นอก ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก เพราะที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1 ได้แสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมด้วยการคุกคามบุคคลที่เห็นต่างเหมือนคนไร้สติ

หรือเป็นเพราะได้สวมหัวโขนตำแหน่งทางการเมืองถึงกล้าที่จะทำตัวเช่นนั้น ไม่ว่าจะอ้างอย่างไรผลแห่งการกระทำถือเป็นความกร่าง แสดงออกถึงการไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่าง ขัดแย้งกับแนวทางและการขับเคลื่อนของพรรคที่ตัวเองสังกัด การอ้างว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ มีแนวคิดใหม่ ต้องการทำสิ่งใหม่ กลับใช้วิธีการข่มขู่ คุกคาม คนที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งที่ด้านหนึ่งตัวเองก็เป็นบุคคลสาธารณะ เช่นนี้ยังจะหน้าทนรอให้มีการตรวจสอบก่อนจึงจะไขก๊อกจากที่ปรึกษาประธานสภาคนที่ 1 อย่างนั้นหรือ

ยิ่งได้เห็นการโพสต์ที่อ้างว่าได้แจ้งต่อ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลเพื่อให้ทางพรรคตัดสิทธิการถูกเสนอชื่อเข้าดำรงตำแหน่งบริหารใด ๆ ในพรรค ถือว่าเพียงพอต่อการแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ การอ้างว่าฝ่ายที่ตัวเองไปคุกคามให้ร้ายป้ายสีด้วยข้อความอันเป็นเท็จ แต่ไม่อยากฟ้องร้องเป็นคดีความจึงบุกไปหาถึงที่ทำงานเพื่อจะหารือให้จบปัญหา ถามว่าเป็นการไปเพื่อคุยกับคู่กรณีหรือไปข่มขู่ สั่งการให้ผู้บริหาร ผู้จัดการบริษัทเล่นงานคู่กรณีกันแน่

นั่นยังไม่พอ กรณีการโพสต์ และทวีตข้อมูลส่วนตัวของคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็น ชื่อเล่น อายุ วันเดือนปีเกิด บ้านเลขที่ ที่อยู่ หมู่บ้าน รูปพรรณสัณฐานที่พักอาศัย เช่น สีประตูรั้วบ้าน สีรถยนต์ที่ใช้ รวมถึงระบุชื่อมารดา จำนวนบุตรของคู่กรณี และระบุสถานที่ทำงานพร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงานโดยละเอียด อาจเป็นการใช้วิธีการล่าแม่มดที่พรรคต้นสังกัดและกองเชียร์ถนัด เพียงแค่เห็นต่างทางการเมืองมันเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับฐานะทางสังคมที่ตัวเองมีหัวโขนหรือไม่

ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของพวกหลงหัวโขนที่คิดว่ามีกองเชียร์มหาศาล สามารถจัดการคนเห็นต่างหรือพวกที่สะเออะมาวิจารณ์อย่างสาสมได้ ท่วงทำนองเช่นนี้สำหรับคนพรรคสีส้มไม่ได้มีแค่อมรัตน์เท่านั้น ยังมีอีกหลายราย เพียงแต่ไม่มีใครที่จะบ้าระห่ำเท่าเท่านั้น จะถือเป็นบทเรียนหรือไม่ไม่ทราบ แต่การแสดงออกอย่างสุดโต่งเช่นนี้ มันเริ่มทำให้พวกที่ไม่ใช่ด้อมส้มแบบเข้าเส้น เริ่มคิดทบทวนยังจะสนับสนุนกันต่อไปหรือไม่ ขณะที่บางส่วนรู้สึกโล่งใจที่พรรคการเมืองนี้ไม่สามารถตั้งรัฐบาลสำเร็จ

มิเช่นนั้น คงได้เห็นการเดินหน้าออกกฎหมาย หรือสร้างกลไกอะไรที่แปลกประหลาดเพื่อเอาใจพวกสุดโต่ง กลายเป็นว่าในจังหวะที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน แทนที่จะมุ่งมั่นกับการเตรียมทีมงานเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น กลับมาสาละวนอยู่แต่เรื่องความไม่พอใจต่อฝ่ายเห็นต่าง พยายามจะเล่นเกมหาช่องเพื่อแสดงความเหนือชั้นทางการเมือง เช่นเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรกับตำแหน่งรองประธานสภาฯ ทั้งที่ความจริงบรรดานักเลือกตั้งรุ่นใหญ่มองไปไกลกว่านั้นแล้ว

อย่างที่เคยบอกไว้ คนในพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อย ได้แสดงความไม่พอใจต่อการทำการเมืองของพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งจนหลังเลือกตั้ง เนื่องจากอาศัยการสร้างภาพเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ทำการเมืองแบบใหม่ แต่ในความเป็นจริงช่วงชิงชัยและเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนหย่อนบัตร คนของพรรคที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นฝ่ายค้านร่วมกันมา มีการปล่อยข่าวทำลายพรรคเพื่อไทยไม่ต่างไปจากพวกไอโอของขบวนการสืบทอดอำนาจ จนกลายเป็นแค้นฝังหุ่นของคนรุ่นใหม่และนักเลือกตั้งในพรรคนายใหญ่มาถึงทุกวันนี้

ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ ครม.เศรษฐา 1 มีมติในการประชุมนัดแรกตั้ง ภูมิธรรม เวชยชัย นั่งประธานคณะกรรมการศึกษาการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น จึงมีการกำชับมาจากผู้อาวุโสและนักประชาธิปไตยที่แท้จริงของเพื่อไทยให้ระวังการโจมตีจากฝ่ายแค้นที่จะกล่าวหาว่ารัฐบาลดึงเกมการแก้ไขเพื่อหวังให้รัฐบาลได้อยู่กันยาว ๆ จนทำให้เสี่ยอ้วนต้องประกาศว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะได้เห็นโฉมกรรมการทั้งหมด และจะเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว

จนถึงนาทีนี้ในทางการข่าวทราบว่าได้มีการทาบทามนักกฎหมายที่สังคมยอมรับ บรรดานักวิชาการ แม้กระทั่งกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่คนรุ่นใหม่ให้ความเชื่อถือ เช่น ตัวแทนจากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ มาร่วมเป็นกรรมการ เพื่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ก่อนจะมีบทสรุป ซึ่งปลายทางก็ต้องไปจบที่การมีมติจาก ครม.ให้เกิดการทำประชามติ อันถือเป็นจุดที่รัฐบาลมองเห็นแล้วว่าจะสามารถทำให้กระบวนการแก้ไขเดินหน้าได้เร็ว ไม่ต้องผ่านกระบวนการของรัฐสภา

ยังมีปัญหากินรวบไม่ยอมแบ่งที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เสี่ยอ้วนในฐานะรองนายก ฯซึ่งกำกับดูแลต้องเรียก ธรรมนัส พรหมเผ่า เจ้ากระทรวงมาคุย แม้จะออกตัวว่า การแบ่งงานเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการ แต่ผลจากการจัดสรรปันส่วนที่ออกมาทำให้ 2 รัฐมนตรีช่วยจากเพื่อไทยและรวมไทยสร้างชาติกลายเป็นแค่ไม้ประดับ การไม่เกรงใจกันแบบนี้จะอ้างว่าประสบการณ์ในฐานะเคยนั่งกระทรวงนี้มาก่อนจึงขอเก็บงานสำคัญไว้ทำเองไม่น่าจะฟังขึ้น เพราะข้าราชการในกระทรวงเริ่มพูดกันอื้ออึงพบการขยับวางตัวคนของหลายหน่วยงานไม่ใช่เพื่อการเตรียมพร้อมแก้ปัญหาแต่น่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า

ถ้าไม่รีบจัดการหรือปล่อยกันไปตามยถากรรม ก็เชื่อได้เลยว่าไม่พ้นสิ้นปีนี้เต็มที่ไม่เกินต้นปีหน้าจะต้องมีการปรับ ครม.กันแน่ เว้นเสียแต่เพื่อไทยจะไปมีข้อตกลงลับเกี่ยวกับ สส.ที่จะย้ายคอกมาสังกัดนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ไชยา พรหมา ในฐานะ สส.เก่าแก่ของพรรคนายใหญ่ก็ต้องทำใจ ปล่อยให้ อนุชา นาคาศัย จากพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหงุดหงิดหัวใจไปแต่เพียงผู้เดียว หากเป็นไปในรูปนี้พรรคที่จะร้อน ๆ หนาว ๆ หนีไม่พ้นพลังประชารัฐของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ด้วยเหตุนี้จึงมีข่าวปล่อยออกมาว่ามีการปัดฝุ่นเรื่องยุบพรรคมาขู่พรรคแกนนำรัฐบาลกันแล้ว อยู่ที่ว่ายังเชื่อกันว่าคนที่ขู่มีน้ำยาอยู่หรือไม่เท่านั้นเอง

Back to top button