8 หุ้นสุดแข็งแกร่ง! รับเต็มอานิสงส์ 4G
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” คัด 8 หุ้นดำเนินธุรกิจโครงข่ายน่าลงทุน รับอานิสงส์จากการประมูล 4G
จากการประมูลใบอนุญาต 4G คลื่น 900 MHz เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมาซึ่งราคาพุ่งสูงเกินกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ โดยชุดแรกอยู่ที่ 75,654 ล้านบาท ส่วนชุดที่ 2 อยู่ที่ 76,298 ล้านบาท รวมทั้ง 2 ใบอนุญาติอยู่ที่ 151,952 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อการเข้าลงทุนในกลุ่มหุ้นสื่อสารฯ ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ได้ออกความคิดเห็นให้ปรับลดคำแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว แต่ได้มีการแนะนำให้ลงทุนในหุ้นในกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวางระบบเป็นหลัก
โดยนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดมูลค่าหุ้นสื่อสาร หลังการประมูล 4G ดุเดือดและมีต้นทุนที่สูงเกินกว่าคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา หุ้นสื่อสารราคาปรับลดลงแรงทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้นที่ระดับ 6-7% ขณะที่เชื่อว่ากลุ่มวางระบบไอทีจะมีความคึกคักในปี 59 เนื่องจากเป็นการต่อยอดจากการรองรับธุรกิจ 4G และเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับธุรกิจออกแบบ, วางระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดหลังจากการประมูล 4G เสร็จสิ้นลง พบว่ามี บจ.ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
อันดับ 1 บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PCA ผู้ให้บริการออกแบบ ติดตั้ง จำหน่ายระบบเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมและระบบดิจิตอลทีวีแบบครบวงจร
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 58 มีทิศทางการเติบโตต่อเนื่องจากการรับรู้รายได้จากมูลค่างานคงค้างในมือทั้งงานวางระบบ สื่อสารผ่านดาวเทียมโครงข่าย 3G และ 4G ของผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
รวมทั้งงานภาครัฐและหน่วยงานราชการอื่นและงานผลิตรถสื่อสารผ่านดาวเทียมและรถถ่ายทอดสดสัญญาณโทรทัศน์และดิจิตอลทีวีของสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ดังนั้นในปี 58 คาดว่ารายได้จะโต ขึ้น 12-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 965 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิงวดปี 58 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ราคาหุ้น PCA ปิดวานนี้ (21 ธ.ค.) อยู่ที่ 3.24 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 3.18% สูงสุด 3.56 บาท ต่ำสุด 3.06 บาท มูลค่าการซื้อขาย 13.74 ล้านบาท
อันดับ 2 บริษัท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CSS ผู้ให้บริการออกแบบและติดตั้ง ระบบโทรคมนาคมและระบบป้องกันไฟลาม รวมทั้งให้บริการงานด้านบำรุงรักษาระบบโทรคมนาคม
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4/58 เชื่อว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากงานโทรคมนาคมหนุน อีกทั้งมีธุรกิจพลังงานทดแทนเข้ามาเสริม ประกอบกับปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้เข้ามารวมประมาณ 1,200 ล้านบาท
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำหุ้น CSS ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 6.74 บาท โดย CSS เป็นผู้ขายและติดตั้งเสาโทรคมนาคม ทำให้มีโอกาสได้งานเพิ่มจากการประมูล 4G เนื่องจากผู้ประกอบการเครือข่ายน่าจะมีแผนขยายโครงข่าย และเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ และผู้บริหารคาดในไตรมาส 4/58 ผลการดำเนินงานจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีงานโทรคมนาคมช่วยหนุน และยังมีธุรกิจพลังงานทดแทนเข้ามาเสริม
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานราชการด้านไอทีและโทรคมนาคมเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปีหน้าจะมีงานด้านนี้เปิดประมูลมากขึ้น ส่วนปี 2559 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตมากขึ้นกว่า 5,500 ล้านบาท หรือราว 20-25%
ขณะที่ราคาหุ้น CSS ปิดวานนี้ (21 ธ.ค.) อยู่ที่ 4.72 บาท บวก 0.58 บาท หรือ 14.01% สูงสุด 4.96 บาท ต่ำสุด 4.22 บาท มูลค่าการซื้อขาย 959.56 ล้านบาท
อันดับ 3 บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จำกัด (มหาชน) หรือ SCI ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายตู้สวิทช์บอร์ด-ผลิตและจำหน่ายเสาไฟฟ้าแรงสูง เสาสื่อสารโทรคมนาคม
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มองปัจจัยเรื่องผู้ผ่านคุณสมบัติที่จะได้ทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 600 MW และจะมีการจับฉลากว่าใครจะได้รับการอนุมัติให้ก่อสร้าง จึงเป็นกระแสให้หุ้นที่ไม่ว่าจะยังไงก็ได้งานกลับมาเล่นกัน โดยเฉพาะพวกที่ขายอุปกรณ์ไฟฟ้านั่นเอง ซึ่ง SCI เป็นตัวเด่นเรื่องนี้ มีโอกาสได้งาน รวมทั้งมีโอกาสได้โรงไฟฟ้าด้วย เพราะบริษัทสนใจทำโรงไฟฟ้าเช่นกัน
ขณะที่ราคาหุ้น SCI ปิดวานนี้ (21 ธ.ค.) อยู่ที่ 6.90 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.73% สูงสุด 7.15 บาท ต่ำสุด 6.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 169.81 ล้านบาท
อันดับที่ 4 บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS ผู้ประกอบธุรกิจจัดหา ออกแบบ และวางระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เข้าสู่ธุรกิจ mobile เต็มตัวจากการชนะมูล 4G คลื่น 900 MHz ในส่วนการวางระบบจำนวนมากของ JAS จะเกิดแน่ แต่วันนี้มาสนใจ JTS (บริษัทลูกของ JAS) ที่มีแววได้รับงานวางระบบอย่างมากมาย จึงเป็นหุ้นเก็งกำไรตัวสำคัญประจำสัปดาห์ แม้ค่า PE จะสูง แต่ราคาหุ้นต่ำกว่า Book กว่า 25% หรือคิดเป็น Book ประมาณ 1.50 บาท
ขณะที่ราคาหุ้น JTS ปิดวานนี้ (21 ธ.ค.) อยู่ที่ 1.49 บาท บวก 0.34 บาท หรือ 29.57% สูงสุด 1.49 บาท ต่ำสุด 1.35 บาท มูลค่าการซื้อขาย 119.40 ล้านบาท
อันดับที่ 5 บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ผู้ให้คำปรึกษาและพัฒนางานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาและวางระบบ และธุรกิจบริการด้านการบำรุงรักษา ระบุว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 59 โดยคาดว่าจะเน้นการขยายงานด้านการพัฒนาและวางระบบเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มการขยายตัวด้านโทรคมนาคมและ 4G ในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่คาดหวังว่าเครือข่าย 4G จะหนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโต
นอกจากนี้ในส่วนของโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าลงใต้ดินถือเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโอกาสได้รับงานวางระบบล็อตใหญ่ ช่วยหนุนผลงานปีหน้าให้กลับมาเติบโตมากกว่าปี 2558 ที่คาดว่ารายได้และกำไรอาจจะปรับตัวลดลง จากปี 57
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า MFEC เป็นบริษัทวางระบบ ถือเป็นหุ้นเด่นที่เข้ากับยุค Digital Economy โดยปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อย่างน้อย 1.2 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปี 58 ทั้งหมด สำหรับการเปิดประมูล 4G และโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าลงใต้ดิน จะเป็น High Light สำคัญในปี 58-59 ซึ่งจะ ทำให้ MFEC ได้รับงานวางระบบล็อตใหญ่ จนผลักดันให้ฐานกำไรและรายได้กลับมาเติบโตแรงอีกครั้ง
โดยยังคงยืนยันว่า MFEC เป็นหุ้นเด่นที่มีผลประกอบการเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าพื้นฐาน โดยเมื่อเทียบ P/E ในหุ้นกลุ่ม ICT ระดับ P/E ของ MFEC ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 12.53 เท่า เทียบกลุ่มที่ 17-18 เท่า จึงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาพื้นฐาน 11 บาท
ขณะที่ราคาหุ้น MFEC ปิดวานนี้ (21 ธ.ค.) อยู่ที่ 5.15 บาท บวก 0.55 บาท หรือ 11.96% สูงสุด 5.35 บาท ต่ำสุด 4.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 68.56 ล้านบาท
อันดับ 6 บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้ดำเนินธุรกิจรับออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งระบบสื่อสารสายสัญญาณทุกประเภท ระบุว่า สำหรับผลประกอบการในปี 58 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิใกล้เคียงเป้าหมายที่ 300 ล้านบาท หลังจาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมามีกำไรสุทธิแล้ว 233.72 ล้านบาท
ขณะที่ คาดว่ารายได้ทั้งปีจะเข้าเป้า 3,000 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตในทุกๆ ธุรกิจ โดยจะมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจ Distribution 60% ธุรกิจ Engineering ราว 20-25% และธุรกิจ Telecom ราว 17-20% นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเบื้องต้นในปี 59 รายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือน ธ.ค.นี้
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่าราคาหุ้น ILINK ปรับตัวลงราว 10% นับจากต้นสัปดาห์ก่อน จากการสอบถามผู้บริหาร ILINK ไม่พบปัจจัยลบใหม่ต่อปัจจัยพื้นฐานบริษัท มองว่าการปรับลงของราคามีสาเหตุการประมูลงาน 2-3 โครง การใหญ่เลื่อนจากไตรมาส 4/58 เป็นครึ่งปีแรก 59
ขณะที่แนวโน้มไตรมาส4/58 ไม่เด่น คาดกำไร 63 ล้านบาท (-23%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -3%เทียบไตรมากสก่อนหน้า) มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน ทำให้หุ้น ILINK กลับมาซื้อขาย PE ปี 59 ที่ 17 เท่า เทียบเท่า -0.5SD PE ย้อนหลัง 5 ปีที่ 17.5 เท่า และมี Upside 23.8% จากราคาเป้าหมายปี 59 ที่ 22.40 บาท ปรับคำแนะนำเป็น BUY จาก NEUTRAL
ขณะที่ราคาหุ้น ILINK ปิดวานนี้ (21 ธ.ค.) อยู่ที่ 18.20 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.55% สูงสุด 18.80 บาท ต่ำสุด 18.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 10.00 ล้านบาท
อันดับ 7 บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ผู้ดำเนินธุรกิจออกแบบ และรับเหมาวางระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างครบวงจร
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/58 AIT คาดว่าจะมีรายได้ราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากการรับรู้งานโครงการประมาณ 80% และอีกกว่า 10% มาจากงานให้บริการ ส่วนในปี 59 บริษัทเตรียมลงทุนขยายกิจการเพื่อให้มีรายได้เข้ามาเป็นประจำ (recurring income) โดยอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อร่วมลงทุนจัดตั้ง Data Center เบื้องต้นคาดใช้งบลงทุนราว 400 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ปี 60
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่ามีมุมมอง Positive กับ AIT หลังตัดสินใจขายหุ้นที่ถือทั้งหมดในบริษัทเคิร์ซ (บริษัทย่อย AIT ถือ 72.3%) จำนวน 813,500 หุ้น ราคาเสนอขาย 80 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่า AIT จะได้ประโยชน์จากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น (หักภาษี) ราว 42 ล้านบาท และไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนของบริษัทเคิร์ซอีกต่อไป
ทั้งนี้ในระยะสั้นมองว่าราคาหุ้น AIT มีโอกาสปรับขึ้นต่อปรับประเด็นบวกดังกล่าว ประกอบกับโอกาสได้งานเพิ่มในครึ่งหลังปี 58 จะเป็นตัวเร่งราคาหุ้น สำหรับราคาเป้าหมาย AIT ของ IAA Consensus ประเมินที่ 28.89 บาท มี upside 17% จากราคาปัจจุบัน มองเป็นโอกาส “เก็งกำไร” จากราคาหุ้นที่ปรับลง
ขณะที่ราคาหุ้น AIT ปิดวานนี้ (21 ธ.ค.) อยู่ที่ 26.25 บาท บวก 1.35 บาท หรือ 5.42% สูงสุด 26.50 บาท ต่ำสุด 24.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 18.73 ล้านบาท
อันดับ 8 บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL ผู้ดำเนินธุรกิจบริการเครือข่ายสื่อสาร สายธุรกิจรับเหมาออกแบบติดตั้งระบบ บริการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศสื่อสาร และสายธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ต
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ว่ากำไรไตรมาส 4 ปี 58 ของ SAMTEL โดดเด่นทำจุดสูงสุดของปี จากรายได้ที่คาดว่าจะเติบโต 18% จากไตรมาสก่อน และ 42% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน มาอยู่ที่ 2.07 พันล้านบาท จากงาน Backlog และงานใหม่ที่คาดว่าจะเซ็นในไตรมาส 4 ปี 2558
สำหรับปี 59 คาดว่าจะได้เซ็นสัญญางานใหม่มูลค่าราว 7 พันล้านบาท เมื่อรวมกับรายได้ปี 59 ของ Backlog ที่คาดว่าจะอยู่ราว 5.55 พันล้านบาทแล้ว คาดว่ารายได้ปี 59 ของ SAMTEL อยู่ที่ 7.44 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนและมีกำไรสุทธิ 742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากปีก่อน ทั้งนี้เมื่อประเมินโดยอิง PE เฉลี่ยย้อนหลัง 2 ปี ที่ 17 เท่า ได้ราคาเหมาะสมอย่างระมัดระวังที่ 20.40 บาท มี upside จากราคาปัจจุบันถึง 35% แนะนำ ซื้อ
ขณะที่ราคาหุ้น SAMTEL ปิดวานนี้ (21 ธ.ค.) อยู่ที่ 14.20 บาท ลบ 0.70 บาท หรือ 4.70% สูงสุด 14.70 บาท ต่ำสุด 14.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5.99 ล้านบาท
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน