หุ้นกู้จะเบี้ยวอีก!
ช่วงนี้ไปไหน มาไหน ก็มีแต่คนชวนคุยเรื่อง “เบี้ยวหุ้นกู้” กันทั้งนั้น ซึ่งมีการชี้เป้าไปยังบริษัทนั้น บริษัทนี้กันเยอะแยะไปหมด
ช่วงนี้ไปไหน มาไหน ก็มีแต่คนชวนคุยเรื่อง “เบี้ยวหุ้นกู้” กันทั้งนั้น ซึ่งมีการชี้เป้าไปยังบริษัทนั้น บริษัทนี้กันเยอะแยะไปหมด จนทำให้เดี๊ยนรู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่า ผู้คนในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนกำลังวิตกจริตอย่างหนัก หลังสูญเงินไปกับหุ้นกู้ลวงโลกก่อนหน้านี้เป็นจำนวนมาก ผสานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบก็ไม่ไล่บี้ผู้บริหารแบบสุดซอย เลยทำให้คนเหล่านั้นยังลอยหน้าลอยตาในสังคมต่อไปเจ้าค่ะ
ที่น่าสนใจคือ ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นหนามยอกอกที่ทิ่มแทงตลาดหุ้นไทยนานหลายเดือน และกลายเป็นบททดสอบฝีมือของ “เสี่ยนิด” ที่เข้ามานั่งเป็นเจ้ากระทรวง ก.คลัง จะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร? แถมเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของระบบการเงินไทยโดยตรง จึงเป็นประเด็นที่ “โมนิก้า” ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้จริง ๆ และใคร่อยากรู้แนวทางที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากขึ้นมาอีกพะย่ะค่ะ
วันนี้เลยถือโอกาสเท้าความถึงเรื่องเดิม ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นกู้สักหน่อย เพราะข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ “ThaiBMA” เคยรายงานหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ หรือ “Default Payment” จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 66 มีทั้งหมด 7 บริษัท และมูลค่าสูงถึง 1.90 หมื่นล้านบาท มันคือแผลสดที่ยังไม่ทันจะแห้ง ก็จะมีบาดแผลใหม่เกิดขึ้นอีกแบบนี้..เป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น!..เดี๊ยนถึงต้องออกมาพูดถึงวีรกรรมที่บริษัทเหล่านั้น เคยก่อกรรมทำเข็ญไว้กับผู้ถือหุ้นกู้นะจ๊ะ
แสบสุดของยุคนี้ต้องยกให้ STARK ซึ่งมีมูลค่าหนี้คงค้าง 9.20 พันล้าน และนำไปสู่การฟ้องร้องทางคดี ซึ่งจะมีการนัดสืบโจทย์วันที่ 23 เม.ย. 67 และนัดสืบพยาน 24 เม.ย. 67 แบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ทรมานใจผู้ถือหุ้นกู้อย่างแรง จนบางคนเริ่มทำใจกับเงินที่สูญไป หลังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เงินคืนในเร็ววัน ผนวกกับตัวบริษัทยังมีคดีความต่าง ๆ ยาวเป็นหางว่าว จึงไม่มีทางที่เรื่องนี้จะจบภายใน 1 ปีเจ้าค่ะ
ตัวอย่างที่เทียบเคียงได้ง่ายสุดก็คือ IFEC ซึ่งมีหนี้คงค้างจากหุ้นกู้สูงถึง 3 พันล้าน และเป็นผลที่เกิดขึ้นหลังจากมีการเบี้ยวชำระตั๋วบีอีจำนวน 200 ล้านบาท แถมเรื่องดังกล่าวก็เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 60 จึงกลายเป็นหนังเรื่องยาวที่ไม่รู้จะหาจุดลงเอยตรงไหน? ผนวกกับกลุ่มคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงก็หายเข้ากลีบเมฆไปหมด “โมนิก้า” เลยไม่รู้จะไปตามหาข้อมูลจากตรงไหนได้นะคะ
อีกรายที่แสบไม่เบาต้องยกให้หุ้นที่มีเรื่องฉาวเกี่ยวกับการปล่อยกู้ “โมนิก้า” คงต้องเอ่ยถึงหุ้น ACAP อีกสักครั้ง เพราะติดอยู่ในโผรายชื่อเบี้ยวหนี้หุ้นกู้สูงถึง 2.57 พันล้าน แถมยังโดนศาลล้มละลายกลางยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ เพราะขาดความชัดเจนในเรื่องแผนฟื้นฟู จนสุดท้ายมาโดนแขวน SP เมื่อเดือน พ.ค. 66 แบบนี้ มันเหมืนเป็นการย้ำแผลเก่าให้เละหนักยิ่งกว่าเดิม..น้องโมหมดคำสิเว้า!
เช่นเดียวกับในรายของ ALL ก็ถูกเม้าท์ถึงในวงกว้างว่า ผู้บริหารทำธุรกิจอย่างไร? ถึงทำให้ทุกอย่างดิ่งลงเหวชนิดกู่ไม่กลับ พร้อมกับมีเสียงเรียกร้องให้ลงโทษผู้บริหารให้ถึงที่สุด เพราะตอนเข้ามาในตลาดหุ้นช่วงแรก ก็ขยันออกข่าวทำโน้นทำนี้เยอะแยะไปหมด แต่สุดท้ายบริษัทดันติดหนี้ชาวบ้านไปทั่ว แถมยังเบี้ยวหนี้หุ้นกู้สูงถึงระดับ 2.33 พันล้าน จึงทำให้เรื่องนี้ไม่ควรจบแค่ “ไม่มี ไม่จ่าย” นะตัวเอง
ส่วนรายที่ว้าวุ่นสุดของเที่ยวนี้ก็คือ JKN เพราะถึงดีลที่ต้องเคลียร์หนี้หุ้นกู้ที่ค้างชำระบางส่วนอีกราว 450 ล้าน จากมูลหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ราว 610 ล้านบาท ก็เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะมันเกี่ยวกับความเชื่อมั่นที่ผู้ถือหุ้นกู้มีต่อตัว “เจ๊แอน” แบบเต็ม ๆ “โมนิก้า” เลยหวังว่า เที่ยวนี้จะไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังซ้ำสอง ไม่เช่นนั้นตัวเจ๊จะไม่มีที่ยืนในสังคม..รักนะ ถึงต้องพูดกันตรง ๆ แบบนี้!
น่าเสียดายพื้นที่เม้าท์ของ “โมนิก้า” หมดเสียก่อนเลยไม่มีโอกาสเม้าท์ถึงรายละเอียดที่ APEX ค้างหนี้หุ้นกู้ 765 ล้านบาท กับ DR ที่มีหนี้หุ้นกู้คงค้าง 557 ล้านบาท เพราะต้องเอาพื้นที่ไปเผือกเรื่องที่ชาวหุ้นกำลังสนใจก็คือ เขากำลังตามหาบริษัทอีก 2-3 แห่งที่ส่อเค้าจะเบี้ยวหุ้นกู้อีก มันทำให้เดี๊ยนขนลุกซู่ขึ้นมาทันที! และไม่มีอันจะทำอะไรทั้งสิ้น เพราะเรื่องนี้จะกลายเป็นประเด็นซ้ำเติมตลาดหุ้นให้ทรุดลงไปอีก..หลังวานนี้รูดทะลุแนวรับ 1,500 จุดลงมาปิดที่ระดับ 1,494.02 จุด ลบไป 13.34 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.56 หมื่นล้านบาทน่ะซี