RS ปิดจ๊อบรับเงิน 1.6 พันล้าน “ยูนิเวอร์แซล” ลุยบริหารลิขสิทธิ์เพลง “อาร์เอสมิวสิค”

RS รับเงินลงทุนก้อนโต 1.6 พันล้านบาท จากยูนิเวอร์แซล มิวสิคเรียบร้อยแล้ว พร้อมลุยธุรกิจบริหารลิขสิทธิ์เพลงสร้างการเติบโตร่วมกันทั้งในและต่างประเทศ


นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยว่า จากความร่วมมือระหว่าง บริษัท อาร์เอส มิวสิค จำกัด (RS Music) และค่ายเพลงชั้นนำอันดับหนึ่งของโลก ยูนิเวอร์แซล มิวสิค กรุ๊ป (Universal Music Group หรือ UMG) นั้นเสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากในวันนี้ UMG ได้ชำระเงินลงทุนให้อาร์เอสเป็นที่เรียบร้อยมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน RS ยังได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ซึ่งจะได้รับเงินเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร จากนี้ไปอยู่ในขั้นตอนวางกลยุทธ์ เพื่อส่งเสริมให้การ Synergy ระหว่างทั้ง 2 บริษัท สามารถสร้างการเติบโตร่วมกันให้แก่วงการเพลงทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคต

“จากการร่วมมือกับ UMG เพื่อร่วมบริหารลิขสิทธิ์เพลงของอาร์เอสที่มีมากกว่า 10,000 เพลง (ตั้งแต่ พ.ศ.2524-2565) ตอกย้ำแนวทางที่ชัดเจนของ RS Music ในการกลับมารุกธุรกิจเพลงในจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วยโมเดลธุรกิจใหม่และแตกต่าง เตรียมความพร้อมในการนำธุรกิจเพลงเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2567” นายสุรชัย กล่าว

นายสุรชัย กล่าวอีกว่า สำหรับอาร์เอส มิวสิค ธุรกิจในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป จับมือกับ UMG ร่วมกันจัดตั้งบริษัทในการบริหารลิขสิทธิ์เพลงเก่าของอาร์เอสที่มีมากกว่า 10,000 เพลง โดยอาร์เอส มิวสิค ถือหุ้น 30% ด้าน ยูนิเวอร์แซล มิวสิค ถือหุ้น 70% ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,600 ล้านบาท ซึ่งความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะขยายโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลิขสิทธิ์เพลงของ อาร์เอส พร้อมนำความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีใหม่ๆ จาก UMG มาเสริมศักยภาพให้ผู้คนจากทั่วโลกรู้จักและเข้าถึงวัฒนธรรมเพลงไทยได้อย่างไร้พรมแดน

โดย RS Music ได้พาร์ทเนอร์อย่าง UMG เข้ามาลงทุนในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) เพื่อบริหารลิขสิทธิ์เพลงของอาร์เอสทั้งหมด ซึ่งยูนิเวอร์แซล มิวสิค เป็นบริษัทดนตรีรายใหญ่ของโลก ที่มีวิสัยทัศน์และเป็นผู้นำในตลาดเพลง ซึ่งมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับยูนิเวอร์แซล เพื่อขยายโอกาสให้เพลงไทยได้ออกสู่ตลาดต่างประเทศ การได้พาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างยูนิเวอร์แซล มิวสิค เข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้ผู้คนจากทั่วโลกสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ด้านดนตรีของเราได้อย่างหลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน Soft Power ของไทย และยังมีโอกาสต่อยอดไปสู่ธุรกิจหรือโปรเจคใหม่ในรูปแบบอื่นๆ ร่วมกันในอนาคต

Back to top button