ส่อง 7 หุ้น “บลูชิพ” ราคาพุ่งชนะตลาดฯ 9 เดือน! WHA ทะยาน 29%
เปิดโผ 7 หุ้นกลุ่ม SET50 รอบ 9 เดือนแรกราคาหุ้นพุ่งชนะตลาดฯ ได้แก่ WHA-BH-TTB-ADVANC-BBL-KTB-PTT ส่วนแกร่งสุด WHA ทะยาน 29% โบรกแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายใหม่ 6.30 บาท
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่ม SET50 ในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 โดยเปรียบข้อมูลราคาหุ้นปิดสิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค. 2565 มาเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ก.ย. 2566 ซึ่งมีจำนวน 50 บริษัท ผลปรากฏว่า ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจำนวน 7 บริษัท ส่วนราคาหุ้นปรับตัวลงจำนวน 43 บริษัท
โดยผลดังกล่าวส่งผลให้ภาพรวมดัชนี SET50 ช่วง 9 เดือนแรกปรับลดลง 105.96 จุด หรือลงไป 10.54% ซึ่งคำนวณจาก ณ สิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค. 2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,005.24 จุด เทียบกับ ณ วันที่ 29 ก.ย. 2566 ดัชนีปิดที่ระดับ 899.28 จุด
ขณะเดียวกันสะท้อนไปยังภาพรวมของดัชนี SET Index ในช่วง 9 เดือนแรกปรับลดลง 197.23 จุด หรือลงไป 11.82% โดยคำนวณจาก ณ สิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค.2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,668.66 จุด เทียบกับ ณ วันที่ 29 ก.ย. 2566 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,471.43 จุด
ทั้งนี้สอดคล้องไปกับมูลค่าการซื้อขายสะสมที่เกิดขึ้น ซึ่งมีความชัดเจนเพราะเกิดจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยมูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 9 เดือนแรกพบว่า ขายสุทธิจำนวน 157,170.50 ล้านบาท
ส่วนหากแยกเป็นรายตัวสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่ม SET50 พบว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งชนะดัชนีมีจำนวน 7 บริษัท ได้แก่ WHA, BH, TTB, ADVANC, BBL, KTB และ PTT
ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาตามดัชนีจำนวน 43 บริษัท ได้แก่ DELTA, TISCO, MINT, PTTEP, SCB, INTUCH, MTC, CENTEL, AOT, BDMS, COM7, TRUE, TOP, BTS, CPN, CPALL, OSP, SCC, SAWAD, TLI, TU, KBANK, CBG, BEM, CRC, CPF, GULF, HMPRO, LH, OR, GLOBAL, KTC, RATCH, PTTGC, BGRIM, TIDLOR, EGCO, SCGP, IVL, AWC, GPSC, BANPUและ EA
รายละเอียดตามตารางประกอบ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับจำนวนหุ้น 7 บริษัทชนะดัชนีในช่วงรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 นั้น ยังมีบทวิเคราะห์ประเมินว่าแนวโน้มของผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง ผลดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นเพื่อไปทดสอบราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ WHA ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับราคาเป้าหมายเป็น 6.30 บาท จากเดิม 5.80 บาท จากการ rollover ไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 และปรับกำไรปกติขึ้นตามลำดับ
ขณะที่มองเป็นบวกมากขึ้นต่อยอด presale ในปี 2566 ที่มีแนวโน้มสูงกว่าคาดเดิมที่ 2.25 พันไร่ และใกล้เคียงกับเป้าใหม่ของบริษัทที่ประกาศปรับเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ 2.75 พันไร่ หนุนโดย 1) ประเมินภาครัฐจะเร่งการออก EV package 3.5 ในเร็วๆนี้ เพื่อที่ให้ทันต่อการสนับสนุนผู้ผลิตรถ EV ที่จะเข้ามาลงทุนในไทยปี 2567
2) ความต้องการลงทุนในเวียดนามที่เพิ่ม และเร็วมากขึ้น ภายหลังมีการลงนามกับสหรัฐฯ สำหรับการพัฒนาอุปทาน Semiconductor ในช่วงต้น ก.ย. ที่ผ่านมา รวมทั้ง China relocation ที่เข้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Technology ที่เร่งการลงทุนในเวียดนามตอนบนมากขึ้น (เวียดนาม FDI 8M23 เป็นการลงทุนของประเทศจีน รวมฮ่องกง และไต้หวัน มากกว่า 30% และอยู่พื้นที่ตอนบน 64%
ทั้งนี้คงกำไรปกติปี 2566 อยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และปรับกำไรปกติปี 2567 ขึ้น 8% เป็น 5.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการปรับเพิ่ม presale ปี 2566 ขึ้นเป็น 2.75 พันไร่ และทำ ให้ยอด transfer ในปี 2567 เพิ่มเป็น 2.4 พันไร่ จากเดิม 2.0 พันไร่ เนื่องจาก presale ที่เพิ่มส่วนใหญ่จะอยู่ในนิคมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และพร้อมขายในปี 2567 เช่น WHA IER และ Nghe An phase II
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BH ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 282 บาท โดยคาดกำไรธุรกิจหลักจะเติบโตก้าวกระโดด 40% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 25% จากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 3/2566 เป็น 2.1 พันล้านบาท การเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า สนับสนุนจากผู้ป่วยต่างชาติที่เดินทางเข้ามารักษาโรคซับซ้อน อัตรากำไรขั้นต้นสูง การเพิ่มจำนวนเตียงเป็น 497 เตียง เพิ่มขึ้น 5.5% และอัตราการครองเตียงคงที่ที่ 80% และการปรับราคาขึ้น 6.6% เมื่อเร็วๆ นี้ กำไรธุรกิจหลักจะเติบโตก้าวกระโดด 60% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 5.4 พันล้านบาทในงวด 9 เดือนปี 2566คิดเป็น 80% ของประมาณการปี 2566 ซึ่งอาจจะมีอัพไซด์จากประมาณการเล็กน้อย
บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ยังคงแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาเป้าหมาย 1.90 บาท คาดจะมีกำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และคุณภาพสินทรัพย์จะทำให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าการตั้งสำรองจะลดลง
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ ADVANC ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 252 บาท โดยคาดผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 3/2566นอกจากนี้ผลประกอบการควรได้รับประโยชน์เพิ่มเติมเต็มไตรมาสจากค่าไฟฟ้าที่ลดลง และการจัดการต้นทุนอย่างยั่งยืน คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/2566 ของ ADVANC จะอยู่ที่ 7.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย181 บาท คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 11,287 ล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าแต่ยังเติบโต 47% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนโดยคาดรายได้ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้าแม้ว่าสินเชื่อจะค่อนข้างทรงตัว แต่ NIM ปรับตัวดีขึ้นราว 9bps จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยลอยตัว ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอาจอ่อนตัวลงราว 9% จากไตรมาสก่อนหน้า
โดยรายได้ค่าธรรมเนียมอาจดีขึ้นเล็กน้อยจากผลิตภัณฑ์ประเภทกองทุนรวมและประกัน แต่กำไรจากเงินลงทุนอาจอ่อนตัวลงจากฐานสูง และการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์ซึ่งอาจทำให้มูลค่าเงินลงทุนในตลาดเงินอ่อนตัวลงได้ ด้านค่าใช้จ่ายสำรองหนี้อาจอ่อนตัวลงเล็กน้อย 2% จากไตรมาสก่อนหน้า
บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ยังคงแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20.50 บาท คาดว่าจะมีกำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
บล.เอเอสแอล จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท เนื่องจากทิศทางกำไรไตรมาส 3/2566 แข็งแกร่งต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติโดดเด่นต่อเนื่องในครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งหนุนโดยปริมาณขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากต้นทุนลดลงและราคาขายเพิ่มขึ้น หนุนให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้น