พาราสาวะถี
เหตุคนร้ายวัย 14 ปีกราดยิงบนห้างสยามพารากอน ไม่ใช่แค่ประเด็นถกเถียงกันเรื่องอายุของคนก่อเหตุกับโทษที่สมควรได้รับ อาวุธปืนที่หาซื้อได้ง่ายทั้งที่รัฐบาลผู้นำเผด็จการเคยคลอดมาตรการคุมเข้ม
เหตุคนร้ายวัย 14 ปีกราดยิงบนห้างสยามพารากอน ไม่ใช่แค่ประเด็นถกเถียงกันเรื่องอายุของคนก่อเหตุกับโทษที่สมควรได้รับ อาวุธปืนที่หาซื้อได้ง่ายทั้งที่ถ้าจำกันได้รัฐบาลผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเคยคลอดมาตรการคุมเข้ม แต่เหตุการณ์นี้ก็ชี้ให้เห็นว่ามีการเอาจริงเอาจังกันในทางปฏิบัติขนาดไหน จุดสำคัญต่อสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผลกระทบด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจากจีนเสียชีวิต 1 ราย ลูกจ้างชาวเมียนมา 1 ราย โดยทูตทั้งสองประเทศแสดงความไม่สบายใจต่อเรื่องนี้
เป็นหน้าที่ของ เศรษฐา ทวีสิน ต้องมอบหมายฝ่ายที่เกี่ยวข้องชี้แจง ทำความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวไม่เฉพาะคนจีนเท่านั้น แต่หมายถึงจากทุกประเทศที่วางหมุดหมายเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่พักผ่อน ถ้าความปลอดภัยมีปัญหา ย่อมสร้างความเสียหายตามมาด้วย อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยสำหรับประเทศไทย แต่เมื่อเกิดขึ้นและนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน มันย่อมสร้างความหวาดหวั่นใจ และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยให้คนใช้ประกอบการตัดสินใจที่เดินทางเข้ามาไม่ว่าจะท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจก็ตาม
ถือเป็นความท้าทายสำหรับ “บิ๊กต่อ” พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่กี่วัน มาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องขยับ ปรับกันให้เข้มข้นขึ้นอยู่แล้ว ที่ต้องแอ็กชันให้เห็นผลในแง่ของการกวาดล้าง จับกุม และตรวจสอบกันแบบเข้มงวดคือ การซื้อขาย ครอบครองอาวุธปืน กรณีนี้ไม่อยากจะกล่าวหาหรือโจมตีครอบครัวคนร้าย แต่มันก็ทำให้สังคมอดคิดไม่ได้ว่า คนที่มีฐานะเงินทองสามารถจะซื้อหาและเป็นเจ้าของสิ่งผิดกฎหมายได้โดยง่ายหรือไม่ เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งทำให้เกิดความชัดเจน
นี่ก็ท้าทายเหมือนกันกรณีพรรคก้าวไกลขับ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา พ้นสมาชิกด้วยเหตุผลไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ซึ่งถูกมองเป็นเกมที่พรรคชนะเลือกตั้งต้องการจะครอบครองหัวโขนในสภา ทั้งเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้านฯ และรองประธานสภาฯ หากไม่ใช่การเล่นปาหี่หรือเป็นก้าวไกลการละคร คนที่รับตำแหน่งกินเงินเดือนในฐานะที่ปรึกษาและเลขานุการของรองประธานสภาฯ ที่มาจากก้าวไกลทั้งหมดต้องลาออกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
ตำแหน่งนี้คงไม่ใช่ให้กันโดยเสน่ห์หา ไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะเป็นคนของพรรคไหน ด้วยมารยาททางการเมือง หรือจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว คนของพรรคไหนมีตำแหน่งไม่ว่าจะทางฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติ ย่อมแต่งตั้งคนของพรรคนั้นไปทำหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเหมือนการปูนบำเหน็จ มากไปกว่านั้นคือ คนเหล่านั้นไม่ลาออกแล้วหมออ๋องไม่ยอมปลด ก็ต้องถามกันต่อไปว่าพรรคใหม่ที่จะรับเข้าสังกัดยอมรับได้หรือไม่ ที่คนของพรรคตัวเองเป็นรองประธานสภาฯ แต่ตำแหน่งที่ปรึกษา เลขาฯ และอื่น ๆ กลับเป็นคนของพรรคการเมืองอื่น หรือจะยืนกระต่ายขาเดียวว่านี่เป็นการทำงานการเมืองรูปแบบใหม่
ฟากรัฐบาลที่ประชุม ครม.ก็เริ่มทยอยแต่งตั้งบรรดากรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่ปรึกษา เลขาฯ เป็นการใหญ่ ไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย ทุกรายชื่อที่ปรากฏล้วนแต่เป็นการใช้คนใกล้ตัว บริวารคนสนิท หรือพวกตัวเต็งที่สอบตกของแต่ละพรรค ให้มีตำแหน่งแห่งหน สวมหัวโขนเพื่อหวังใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนนิยม เตรียมพร้อมกันไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ขณะที่จำนวนไม่น้อยก็เป็นพวกมือประสานสิบทิศที่ไว้คอยเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านหรือรอรับเงินทอน
ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในแต่ละกระทรวง น่าจับตาที่กระทรวงศึกษาธิการ หลัง พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ เสมา 1 สลับเก้าอี้ระหว่าง อรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กับ สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการสภาการศึกษา หรือ สกศ. โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้รายแรกไปดูแลเรื่องร่าง พ.ร.บ.การศึกษาที่ยังค้างคาอยู่ด้วยเหตุมีความชำนาญ ส่วนรายหลังเคยปฏิบัติงานที่สำนักงานปลัด ศธ.มาก่อน จึงมั่นใจว่าจะทำงานประสานเชื่อมโยงกับทุกหน่วยงานได้
ทว่าอรรถพลไม่ได้รู้สึกเหมือนได้รับความไว้วางใจจากรัฐมนตรีว่าการให้ไปทำงานใหญ่ กลับเหมือนตัวเองถูกลดชั้น จนถึงขั้นประกาศจะลาออกจากความเป็นข้าราชการ ซึ่งเจ้าตัวอายุ 60 ปีแล้ว แต่ที่อยู่ได้อีก 1 ปีเพราะเป็นไปตามเกณฑ์เรื่องอายุครบบริบูรณ์ซึ่งยังไม่ถึงตอนสิ้นปีงบประมาณ 2566 งานนี้มีการบอกว่าขอปรึกษาครอบครัวและผู้ใหญ่ก่อน ต้องรอดูกันว่าเสมา 1 ที่พกยี่ห้ออาจารย์ใหญ่จากภูมิใจไทยมานั้น จะใช้สาลิกาลิ้นทองกล่อมให้มีการเปลี่ยนใจได้ไหม หากรั้งไม่อยู่ก็ถือเป็นธรรมดาของฤดูกาลโยกย้ายที่มักจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ
หลังจาก เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เข้าหารือเป็นการส่วนตัวกับเศรษฐาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถูกจับตากันว่าเป็นการถกกันถึงประเด็นไหนที่เห็นไม่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวต่อเนื่อง หรือการจะเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล งานนี้พูดเหมือนกันทั้งสองฝ่าย มีหลายเรื่องที่ความเห็นไม่ตรงกัน แต่สามารถทำงานร่วมกันได้ และพร้อมที่จะใช้ช่องทางในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา
ถ้าใจกว้างยอมรับฟัง แล้วปรับจูนในแต่ละเรื่องที่เห็นต่างประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับประชาชน เหมือนกรณีดิจิทัลวอลเล็ต ที่ฟากรัฐบาลตั้งผู้ว่าฯ ธปท.นั่งเป็นกรรมการด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่า เป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้กันหลายหน่วยงาน ที่ไม่ได้มีแค่ ธปท. ซึ่ง ธปท.ก็มีข้อสังเกต และข้อกังวลที่เตรียมจะนำเสนอกลับไปในการประชุมคณะกรรมการนี้ ถกเถียงกันให้ตกผลึก ทำได้ไม่ได้ ติดขัดปัญหาใดก็เร่งแก้ไขทำให้ชัดเจน ไม่เฉพาะประชาชนเท่านั้นที่รอเรื่องนี้ ภาคเอกชนก็อยากได้คำตอบที่กระจ่างชัดเหมือนกัน