KBANK ชี้กรอบ “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 36.60-37.20 บ. จับตาถ้อยแถลงเฟด-ทิศทางฟันด์โฟลว์

KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า (9-13 ต.ค.66) ที่ระดับ 36.60-37.20 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 11 เดือน แนะจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์-สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค-แถลงการณ์เฟด


ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า (9-13 ต.ค.66) ไว้ที่ระดับ 36.60-37.20 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Flow) สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ เฟด

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อและดัชนีความเชื่อมั่นในมุมมองผู้บริโภคเดือนต.ค. ดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และบันทึกการประชุม เฟด เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย.66 นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวน ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. ของจีนด้วยเช่นกัน

โดยเงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 11 เดือนที่ 37.24 บาท/ดอลลาร์ แต่ฟื้นกลับมาบางส่วนปลายสัปดาห์ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ เฟด ยังคงมีท่าทีพร้อมคุมเข้มต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อ นอกจากนี้เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าสอดคล้องกับการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก และสถานะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติซึ่งอยู่ในฝั่งขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงอ่อนค่าและฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงท้ายสัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงตามการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาด

อีกทั้ง วันศุกร์ที่ 6 ต.ค.66 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 37.00 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับ 36.41 บาท/ดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (29 ก.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 2-6 ต.ค.66 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 8,855 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 4,072 ล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิพันธบัตร 3,069 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 1,003 ล้านบาท

Back to top button