พาราสาวะถี

แถลงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงต่างประเทศ ถึงสถานการณ์การติดตามและช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอล ที่อยู่ในพื้นที่สู้รบใกล้ฉนวนกาซา


แถลงอย่างเป็นทางการจากกระทรวงต่างประเทศ ถึงสถานการณ์การติดตามและช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอล ที่อยู่ในพื้นที่สู้รบใกล้ฉนวนกาซา มียอดผู้เสียชีวิต 12 ราย ถูกจับเป็นตัวประกัน 11 ราย ขอเดินทางกลับประเทศ 1,099 คน ไม่ขอกลับ 22 คน ตัวเลขยังไม่นิ่ง ในทุกส่วนต้องมีการอัปเดตกันอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน กองทัพอิสราเอลเริ่มอพยพคนไทยจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังอยู่ในหลุมหลบภัยรอการช่วยเหลือ

มีคำสั่งจาก เศรษฐา ทวีสิน ให้เร่งหาทางช่วยเหลือตัวประกันที่เป็นคนไทยทุกคน ส่วนการประสานเรื่องศพผู้เสียชีวิต และดูแลผู้ที่หลบหนีนั้นก็ให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ สิ่งที่น่าสนใจจากเหตุการณ์ที่เป็นเสียงสะท้อนจากแรงงานไทยที่อยู่ในอิสราเอลก็คือ กลุ่มติดอาวุธฮามาส เปิดปฏิบัติการอัล-อักซา ฟลัด หรือ Operation Al-Aqsa Flood ด้วยการยิงจรวดจำนวนมากข้ามชายแดนทางตอนใต้ของอิสราเอล เพื่อเปิดทางให้นักรบติดอาวุธแทรกซึมเข้าไปในอิสราเอลจากหลายทิศทาง บางส่วนเข้าไปในชุมชนใกล้ฉนวนกาซา สังหารประชาชนและจับเป็นตัวประกัน

ที่ผ่านมา ไม่มีปฏิบัติการภาคพื้นดิน ทั้งสองฝ่ายจะยิงจรวดหรือขีปนาวุธตอบโต้กันไปมาเท่านั้น เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ พลเรือนก็สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ ดังนั้น จึงน่าสนใจต่อทิศทางของสงครามที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงระดับไหน เพราะการสู้รบไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะจุดที่กลุ่มฮามาสโจมตีและอิสราเอลตอบโต้ไปยังปาเลสไตน์เท่านั้น ยังได้มีการขยายเป้าหมายโจมตีไปถึงเลบานอน ขณะที่ขบวนการทั้งหลายในเครือข่ายมุสลิมใกล้เคียงก็พร้อมที่จะเข้าร่วมถล่มอิสราเอลเช่นกัน

ทางด้านของเลบานอนนั้น มีรายงานว่ากองทัพอากาศปากีสถาน จะส่งเครื่องบินรบไปเตรียมพร้อมอยู่ที่นั่นแล้ว เพราะเตรียมให้ความช่วยเหลือหากถูกอิสราเอลโจมตีทางอากาศ สงครามที่เกิดขึ้นภายใต้ความขัดแย้งที่เป็นความเชื่อทางเชื้อชาติ ศาสนานั้น ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัว จะเห็นได้ว่าคนที่ถูกฆ่าซึ่งรวมถึงแรงงานไทยด้วยนั้น ล้วนแต่เป็นพลเรือนปราศจากอาวุธที่จะต่อสู้ ตอบโต้ ก็ไม่ได้รับการไว้ชีวิต นั่นหมายความว่า ภายในระยะเวลาอันใกล้ยังไม่เห็นแนวโน้มการเจรจา โอกาสที่จะเห็นการนองเลือด สังเวยชีวิตอีกไม่น้อยในพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีสูงยิ่ง

การสู้รบในต่างประเทศเป็นสงครามที่หลั่งเลือด แต่ในประเทศไทยสงครามที่ไม่หลั่งเลือดว่าด้วยการเมือง กำลังถูกจับตาอยู่เช่นกัน ปมสำคัญหนีไม่พ้นดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย หลังจากที่มีกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าชื่อกัน 99 คนยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลทบทวนการเดินหน้าโครงการด้วยเหตุผลที่ว่า “เป็นนโยบายที่ได้ไม่คุ้มเสีย” แน่นอนว่า ฝ่ายรัฐบาลย่อมมองด้วยความกังขา เมื่อพิจารณาจากหลายรายชื่อก็เด่นชัดยิ่งว่า เป็นพวกต่อต้านระบอบทักษิณ ไม่เอาพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว

ยืนยันหนักแน่นจากเศรษฐา ยังไงก็ต้องเดินหน้า แต่ความเห็นต่างก็ต้องรับฟังแล้วไปถกกันในคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้น ให้ตกผลึกมีข้อยุติแล้วจึงแถลงในคราวเดียวเพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน ภายใต้มรสุมเศรษฐกิจที่เป็นมรดกบาปมาจากรัฐบาลสืบทอดอำนาจ นโยบายนี้เป็นสิ่งที่พรรคนายใหญ่หวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว วางเป้าหมายที่จีดีพีโตปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงถอยไม่เป็นล้มไม่ได้

ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้จึงอยู่ที่ทีมวางแผน กุนซือทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของเพื่อไทย จะพลิกแพลงชี้แจงให้ประชาชนส่วนใหญ่คล้อยตามได้อย่างไร แน่นอนว่าปฏิกิริยาต่อต้านที่ถูกพ่วงเข้าไปกับการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลนั้น ไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ยุครัฐบาลเผด็จการ คสช.มองว่า ล้มคูปองดิจิทัลเท่ากับล้มรัฐบาลเศรษฐา พร้อมบอกด้วยว่าความพยายามที่จะล้มรัฐบาลเศรษฐาให้ได้ภายใน 3 เดือนหรือก่อนเวลาที่ สว.จะหมดวาระ เป็นแผนการที่เป็นอันตรายต่อประเทศไทยและประชาชนไทยอย่างร้ายแรง

มีการอธิบายต่ออีกว่า การยกเอาเรื่องแจกคูปองดิจิทัลมาคัดค้านอย่างกว้างขวางและผิดปกติ คือ กระบวนการตั้งต้นในการล้มรัฐบาลเศรษฐา ต่อให้รัฐบาลเศรษฐายอมยกเลิก ก็จะต้องหยิบเอาเรื่องอื่นมาล้มรัฐบาลเศรษฐาต่อไป ทั้งที่ในรัฐบาลก่อน มีการกู้เงินมาแจกร่วม 3 ล้านล้านบาท และเงินที่แจกนั้นส่วนใหญ่ก็ไปสู่นายทุนชาติ แต่ขบวนการเหล่านี้เงียบเป็นเป่าสาก ไม่เคยโต้แย้ง ไม่เคยคัดค้าน ในขณะที่รัฐบาลเศรษฐาไม่ได้กู้เงินมาแจก และไม่ได้ใช้เงินไปซื้อเหรียญคริปโตมาแจกตามที่บิดเบือนกัน ทั้งวงเงินคูปองดิจิทัลก็มีเพียง 560,000 ล้านบาท เทียบกันไม่ได้กับจำนวน 3 ล้านล้านบาทที่เคยกู้มาแจกในรัฐบาลก่อน

ขบวนการเหล่านี้รู้ดีว่า ถ้ามีการแจกคูปองดิจิทัล จะทำให้เกิดการไหลเวียนของการค้าและบริการต่าง ๆ จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้รุดหน้าไปข้างหน้าได้ ดังนั้น นอกจากคัดค้านแล้ว ยังล็อกเงินไว้ในระบบเพิ่มขึ้นอีก โดยการเพิ่มดอกเบี้ย ซึ่งทำให้เงินไหลเข้าระบบธนาคารเพิ่มขึ้นอีก และไม่มีการนำมาหมุนเวียน ในขณะที่ผู้เป็นหนี้ก็ต้องเสียดอกเบี้ยสูงขึ้น วิธีการนี้คือ วิธีการที่ใช้ในการล้มรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และใช้เงินสำรองไปเก็งค่าเงินบาทอย่างผิดพลาด ก่อเหตุต้มยำกุ้งขึ้น จนความเสียหายตกทอดมาถึงทุกวันนี้ เป็นอีกมุมมองของคนที่ใกล้ชิดการเมืองมาทุกยุคทุกสมัย ก็ฟังไว้เป็นข้อมูลอีกด้านก็แล้วกัน

งามไส้กันไหมเล่า กรมสรรพากรหน่วยงานจัดเก็บรายได้หลักของประเทศติดเครื่องปรับอากาศมูลค่า 200 ล้านบาท ผ่านไปสองสัปดาห์แอร์เสีย ข้าราชการเดือดร้อนต้องยกพัดลมมาจากบ้าน สภาพอากาศขนาดนี้ใครจะทนไหว ถึงขั้นต้องขอทำงานกันที่บ้าน บางส่วนให้ย้ายมานั่งที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ งานนี้แม้จะอยู่ภายในระยะเวลาประกันตามสัญญากับบริษัทผู้ชนะประมูล แต่ต้องตรวจสอบกันละเอียดไม่ใช่แค่แก้ไขแล้วจบเรื่องจบราวกันไป เม็ดเงินมหาศาลแต่ประสิทธิภาพงานออกมาระดับศูนย์ ต้องดูไปถึงคุณภาพสินค้ากันด้วยกระมัง ไม่อยากจะนึกไปไกลมีเงินทอนกันหนักขนาดไหนถึงได้ทำกันแบบไม่นึกถึงหน้าองค์กรกันเลย

Back to top button