พาราสาวะถี

ปฏิบัติการอัล-อักซา ฟลัด ของกลุ่มฮามาสที่เปิดฉากโจมตีอิสราเอลกำลังบานปลายขยายผลเป็นสงครามใหญ่ มองไปยังเบื้องหลังของมหาอำนาจที่จะถือหางทั้งสองฝั่ง ฝ่ายฮามาสชัดเจนว่าได้แรงหนุนจากกลุ่มขบวนการต่าง ๆ ในโลกมุสลิม รวมไปถึงกลุ่มประเทศที่สนับสนุนการทำสงครามศาสนากับฝ่ายที่ถูกตราหน้าว่าชาวยิว และอีกหลายประเทศที่ไม่แสดงตัวตน ส่วนอิสราเอลรู้กันอยู่แล้วนำโดยสหรัฐอเมริกา แต่ที่ต้องจับตาคือ ตัวพี่เบิ้มเองก็ยังมีสารพัดปัญหาที่รุมเร้าตัวเอง

โดยเฉพาะการสนับสนุนยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย ที่ยังยืดเยื้อ ไม่รู้จะออกหัวออกก้อย เมื่อมองไปยังปฏิบัติการทางทหารของมะกันในช่วงที่ผ่านมา การต่อสู้กับขบวนการที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายในตะวันออกกลาง หลังโจมตี บรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว เมื่อปล่อยมือก็ถูกขบวนการเหล่านั้นกลับเข้ายึดครองเหมือนกรณีตาลิบันในอัฟกานิสถาน สำหรับสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสและพันธมิตรในโลกอาหรับคงยอมไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็น่าสะพรึงเพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั่วโลก

ปัญหาเศรษฐกิจที่คิดว่าน่าจะได้เวลาฟื้นตัวจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน กลับจะถูกกระทืบซ้ำให้หนักหน่วงเข้าไปอีก เมื่อเหตุเกิดที่ตะวันออกกลางราคาน้ำมันคือตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและเห็นได้ชัด หากภาพรวมเลวร้ายลงเช่นนั้น น่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทย รัฐบาลภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน ที่ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จะเหนื่อยฟรีหรือมีอุปสรรคที่ยากจะฟันฝ่าได้หรือไม่

ปมดิจิทัลวอลเล็ตที่ตั้งเค้าจากพวกต่อต้าน เมื่อสแกนกันไปอย่างละเอียดแล้วก็จะพบการเคลื่อนไหวที่เป็นระบบ ขบวนการสืบทอดอำนาจที่หัวขบวนประกาศวางมือไปแล้ว กำลังฉายภาพของการไม่ยอมและเปิดฉากรุกกลับรัฐบาลเพื่อไทย ด้วยเหตุที่ไม่ชอบขี้หน้ากันมาตั้งแต่ก่อนเกิดเผด็จการ คสช.แล้ว แม้จะมีการพลิกขั้วจับมือกับขั้วอำนาจเดิม แต่คนเหล่านี้ก็ยังรับไม่ได้ ทำใจไม่ลง เพียงแต่หัวของการขับเคลื่อนเที่ยวนี้เปลี่ยนมือจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปแค่นั้นเอง

ไม่ได้มีเฉพาะพวกหวงอำนาจ พวกลากตั้งที่ยังคงหัวเสียกับการสกัดนายกรัฐมนตรีจากเพื่อไทยที่ตัวเองจงเกลียดจงชังไม่ได้ ยังมีขบวนการนายทุนที่ได้รับอานิสงส์แบบเต็มคราบในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา รวมหัวกันหาทางที่จะเขย่าเสถียรภาพรัฐบาลเศรษฐาให้ได้ ทั้งที่เพิ่งตั้งไข่ทำงานก็เล่นกันแรงแบบนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าหากขยับกันแบบเต็มที่ตามเจตนารมณ์ที่ประกาศเป็นนโยบายหลักของพรรคแกนนำรัฐบาลแล้ว จะเผชิญกับแรงกระแทกหนักหน่วงขนาดไหน

ทั้งที่ความจริงก็รู้กันอยู่ว่า ต่อให้ล้มรัฐบาลเพื่อไทยได้แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ยังไงประชาชนก็ไม่เลือกพวกอนุรักษนิยม ยิ่งมองไปยังพรรคที่ถูกตี๊ต่างว่าเป็นเครือข่ายไม่มีพรรคไหนที่แข็งแรง พอจะต่อกรในสนามเลือกตั้งได้ มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลเศรษฐาพังเร็วเท่าไหร่แล้วจัดให้มีการเลือกตั้ง พรรคที่จะได้เปรียบถึงขั้นแลนด์สไลด์ก็คือก้าวไกล เว้นเสียแต่จะมีแผนทำให้ทั้งสองพรรคล่มสลายที่ต้องเล่นบทโหดทั้งยุบพรรค และตัดสิทธิบรรดาแกนนำคนสำคัญให้หมด ถามว่าประชาชนส่วนใหญ่จะยอมรับได้หรือ

เหลืออีกทางเดียวคือ ปลุกผีรัฐประหาร นาทีนี้ต้องกลับไปถามบรรดาผู้นำเหล่าทัพ โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบก ยังมีความคิดที่จะใช้ปลายกระบอกปืนมาแก้ไขปัญหาทางการเมืองอีกหรือไม่ บทเรียนกว่า 9 ปีที่ผ่านมา กว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะหาทางลงจากหลังเสือแบบซอฟต์แลนดิ้งได้ แทบกระอักเลือด คงไม่มีใครกล้าและบ้าพอในการที่จะต้องใช้ความสุขในบั้นปลายชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน เอามาทิ้งกับการเอาใจพวกสุดโต่งขนาดนั้น

ส่วนประเด็นที่ว่าแล้วจะมีเหตุอะไรให้ยุบทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล พรรคแรกมีเรื่องที่ถูกร้องไว้แล้วหลายคดี อยู่ที่ว่าฝ่ายมีอำนาจจะหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นเล่นงานหรือเปล่า การหาเหตุแล้วนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ฟากของพรรคชนะเลือกตั้งมีทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ ล่าสุด ก็เป็นกรณีขับ ปดิพัทธ์ สันติภาดา พ้นจากพรรค ด้วยเหตุไม่ยอมทิ้งเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 จะถูกมองว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ซึ่ง ศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องคนดังเตรียมจะไปยื่นร้องต่อ กกต.วันนี้ (11 ตุลาคม)

เหตุผลที่นักร้องคนดังยกมาประกอบการร้องคือ การที่พรรคก้าวไกลมีมติพรรคให้ สส.ออกจากสมาชิกพรรคต้องเป็นเรื่องที่ สส.ทำผิดร้ายแรง หรือขัดแย้งกับพรรคจนอยู่ด้วยกันไม่ได้ เป็นไปตามข้อบังคับพรรคที่เขียนไว้หรือไม่ จะมามีมติให้ออกกันดื้อ ๆ ง่าย ๆ เพียงเพื่อเปิดทางให้พรรคได้ตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่งนั้น ชอบด้วยข้อบังคับของพรรคก้าวไกลหรือไม่ การกระทำเยี่ยงนี้สังคมอาจมองได้ว่า หมออ๋องยังเป็นคนของก้าวไกลเหมือนเดิม เพียงแต่ใส่เสื้อพรรคเป็นธรรมทับลงไปบนเสื้อพรรคก้าวไกลอีกตัวหนึ่งเท่านั้น

แน่นอนว่า การร้องของศรีสุวรรณต่อ กกต.นั้นเพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มีโทษถึงขั้นยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง เรียกได้ว่ามีสารตั้งต้นที่สามารถนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลได้หลายเรื่อง เช่นเดียวกับ ความเคลื่อนไหวที่กำลังดำเนินการอยู่คือ การยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ที่ให้นับย้อนไปตั้งแต่การชุมนุมปี 2549 แต่จุดสำคัญคือ พ่วงเอาการนิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องหาคดี 112 ด้วย

ตรงนี้จะเป็นจุดสลบไม่ต่างจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะไม่ใช่แค่ต้องการช่วยเหลือม็อบคนรุ่นใหม่ที่ต้องโทษในคดีนี้กันหลายสิบคนเท่านั้น แต่ยังมี สส.ของก้าวไกลที่ถูกดำเนินคดีเดียวกันถึง 3 รายคือ “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.กทม. “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี และ “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. อดีตหัวหน้าการ์ดวีโว่ ที่ถูกดำเนินคดีความผิด ม. 112 ถึง 3 คดี หากคนเหล่านี้ถูกศาลตัดสินว่าผิดแล้วไม่ได้รับการประกันตัวในวันเดียวกัน มีอันต้องพ้นสภาพ สส.ในทันที การเมืองยังชิงไหวชิงพริบกันตลอดเวลา โดยไม่ได้สนว่าคนส่วนใหญ่จะเดือดร้อนกันขนาดไหน