NEO ยื่นไฟลิ่งขาย “ไอพีโอ” 78 ล้านหุ้น ระดมทุนเข้า SET

NEO ยื่นแบบไฟลิ่งเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวนไม่เกิน 78 ล้านหุ้น ลุยจดทะเทียนในตลาดหลักทรัพย์ ชูจุดเด่นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อระดมทุนขยายการผลิตของสินค้าใช้ครัวเรือน-วัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์


นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิต ทำการตลาด และจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำของคนไทยที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างระดับสากล ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดสินค้าอุปโภคมากว่า 34 ปี

โดยมีวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค” ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้นเพื่อช่วยยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น (Uplift Essentials for Everyday Betterment) โดยบริษัทฯ เป็นผู้ผลิต ทำการตลาด และจัดจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม รวม  8 แบรนด์ ประกอบด้วย

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ประกอบด้วย 3 แบรนด์ ได้แก่ (1) แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline) เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม และผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ (2) แบรนด์สมาร์ท (Smart) เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรแอนตี้แบคทีเรีย และ (3) แบรนด์โทมิ (Tomi)  เช่น  ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ประกอบด้วย 4 แบรนด์ ได้แก่ (1) แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) เช่น ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น (2) แบรนด์ทรอส (TROS) เช่น ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออน สำหรับผู้ชาย (3) แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) เช่น ผลิตภัณฑ์แป้ง ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออน สำหรับผู้หญิง และ (4) แบรนด์วีไวต์ (Vivite) เช่น ผลิตภัณฑ์โรลออน

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) ภายใต้แบรนด์ดีนี่ (D-nee) เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก และผลิตภัณฑ์อาบน้ำและสระผมเด็ก เป็นต้น

รวมถึงบริษัทฯ มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งและคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล  ครอบคลุมตั้งแต่ระดับผู้บริโภคส่วนใหญ่ (Mass Market) พรีเมียมแมส (Premium Mass) และกลุ่มพรีเมียม (Premium) อีกทั้งมีทีมวิจัยและพัฒนาที่มีประสบการณ์เข้าใจความต้องการของตลาดและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค (Insight) ประกอบกับการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดครบวงจรที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและการแข่งขันของตลาด ทำให้เป็นผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development) ที่มีคุณภาพระดับสูงสอดคล้องต่อความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ จึงสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างกว้างขวางและรักษาลูกค้าปัจจุบันให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง (Brand Loyalty)

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีโรงงานผลิตสินค้าครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์อันแข็งแกร่งและระบบคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย รวมถึงมีความสัมพันธ์อันดีกับช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade)  จึงสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ครองความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 65 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็กแบรนด์ ดีนี่ เป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 26.0, ไฟน์ไลน์ เป็นผู้นำกลุ่มผลิตภัณฑ์รีดเรียบและอัดกลีบผ้า มีส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 60.3 และกลุ่มผลิตภัณฑ์โคโลญสำหรับผู้ชาย ทรอส เป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 71.0  อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ 16 ประเทศ โดยมีประเทศที่ส่งออกหลัก ได้แก่ เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา และเมียนมาร์ เป็นต้น

ด้าน นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ หัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด หรือ TISCO ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า NEO ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยปัจจุบัน NEO มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.0 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 222 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 78 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 26 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายกำลังการผลิตของสินค้ากลุ่มของใช้ในครัวเรือน (Household Products)  การขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์เพื่อให้รองรับกับการขยายกำลังการผลิตในอนาคต ส่วนที่เหลือใช้ชำระคืนเงินกู้ที่มีกับสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ

Back to top button