TISCO สินเชื่อพุ่ง ดันกำไร Q3 ทะลัก 1.9 พันล้าน

TISCO สินเชื่อพุ่ง ดันกำไรไตรมาส 3/66 ทะลัก 1.9 พันล้านบาท ดันงวด 9 เดือนแตะ 5.52 พันล้านบาท ลุ้นทั้งปี 66 ทะลุ 7.6 พันล้านบาท โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” เป้าสูง 110 บาท ชูยีลด์สูง 8%


บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/66 และงวด 9 เดือนแรกของปี 66 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

โดยกำไรสุทธิสำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 3 ปี 2566 ของบริษัทมีจำนวน 1,874.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.06 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.7จากไตรมาส 3 ปี 2565โดยรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ร้อยละ 10.4 เป็นไปตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อกว่าร้อยละ 8.7 จากไตรมาส 3 ของปีก่อนหน้า

ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 1.08 มาเป็นร้อยละ 2.00 สอดคล้องกับสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในตลาด ในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักชะลอตัวลงร้อยละ 4.7 จากธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ชะลอตัวในสภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง พร้อมด้วยการชะลอตัวของธุรกิจหลักทรัพย์ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ลดลงอย่างมากท่ามกลางความผันผวนของตลาดทุน

อย่างไรก็ดีรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัว สอดคล้องกับการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับแผนการเติบโตในระยะยาวของบริษัท

ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ปี 2566 สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) มีจำนวน 5,213.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 จากสิ้นไตรมาส 2 และคิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ที่ร้อยละ 2.25ของสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.20ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลยุทธ์การขยายสินเชื่อไปในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนสูงประกอบกับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าว เป็นไปตามการคาดการณ์ของบริษัท และบริษัทได้ตั้งสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านเครดิตจากกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจและปัจจัยมหภาคไปเรียบร้อยแล้ว

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า TISCO คาดกำไรปี 2566 ที่ 7,594 ล้านบาท เติบโต 5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจกดดัน NIM บ้าง แต่คาดว่าการเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อ High Yield ของธนาคาร จะเป็นปัจจัยที่ช่วยชดเชยได้

ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย มีโอกาสที่จะฟื้นตัวดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะส่วนรายได้ที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้แม้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างตามกลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อ High Yield แต่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องได้ จากสำรองส่วนเกินที่สูงมากเมื่อเทียบกับกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม คงราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 110 บาท อิง P/BV ที่ 1.86 เท่า แม้อัพไซด์จากราคาหุ้นไม่สูงมาก แต่เมื่อบวกกับดิวิเดนด์ยีลด์ที่สูงถึงราว 8% ทำให้อัพไซด์รวมน่าสนใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้านความเสี่ยง คือแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อ NIM

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า สินเชื่อของ TISCO ที่เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มจะยังทำให้กำไรเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่การตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะทำให้กำไรลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังคาด NPL อาจจะยังเพิ่มสูงขึ้น และทำให้สัดส่วนสำรองต่อ NPL ลดลง แต่ยังเป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มมากอยู่ดี ยังคงราคาพื้นฐาน 107 บาท ยังมีส่วนต่าง ประกอบกับปันผลเด่น จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button