แนวรับ 1,200 จุด
รัฐบาลเศรษฐาบริหารงานมา 1 เดือนเศษ ต้องยอมรับว่า ยังไม่มีอะไรออกมาแบบโดน ๆ ให้เห็น รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลไว้มาก
รัฐบาลเศรษฐาบริหารงานมา 1 เดือนเศษ ต้องยอมรับว่า ยังไม่มีอะไรออกมาแบบโดน ๆ ให้เห็น รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่แจกเงินคนละ 1 หมื่นบาทไว้มาก แต่กระแสตอบรับไม่ฮือฮาสักเท่าไหร่ ในทางตรงกันข้าม เสียงคัดค้านกลับกระหึ่มดังมากยิ่งขึ้นทุกวัน
ทั้งเสียงคัดค้านจากศัตรูเก่า “ระบอบทักษิณ” ในคราบของนักวิชาการ พรรคการเมืองคู่อริเก่า และคนกลาง ๆ ด้วยน้ำใสใจจริง ที่รู้สึกห่วงใยกับยอดเงินที่จะตกเป็นหนี้สาธารณะ 5.6 แสนล้านบาท ที่ใช้หมดเปลืองไปโดยไม่เหลือโครงสร้างพื้นฐานให้ตกเป็นสมบัติของชาติสืบไปเป็นร้อย ๆ ปีเลย
ค่อนข้างจะเป็นที่น่าตลกขบขันที่สุด เห็นจะเป็นความเห็นของพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความเห็นผ่านสื่อว่า เงิน 5.6 แสนล้านบาทที่รัฐบาลจะนำไปใช้ในโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลนั้น ควรเอาไปสร้างรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งจะใช้งบลงทุนแค่ 4 แสนล้านบาทเอง
แต่จะตกเป็นสมบัติของชาติเป็นสิบ ๆ ปีร้อย ๆ ปีเลยทีเดียว
หากไม่รู้ภูมิหลังความเป็นมาของพรรคนี้ ก็คงทำความเข้าใจได้ลำบากว่ามันตลกชวนหัวอย่างไร?
ก็คงเป็นเพราะพรรคการเมืองพรรคนี้ไม่ใช่หรือ ที่คัดค้านพ.ร.ก.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และระบบบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ โดยอ้างว่า จะก่อหนี้สินเรื้อรังแก่ประเทศ และจะตกทอดเป็นภาระหนี้สินแก่ลูกหลานอย่างไม่รู้จบสิ้น
ขนาดร่างพ.ร.บ.เข้าพิจารณาในสภาแล้ว สส.ของพรรคนี้ก็ยังนำเรื่องไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฯ ก็มีคำสั่งว่าขัดรัฐธรรมนูญ
เป็นอันว่าแผนการจัดวางอนาคตประเทศ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นแผนการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ต้องถูกตีตกไปโดยน้ำมือของคนพรรคนี้
แล้วใยจะมาเสนอแนะให้ทำรถไฟความเร็วสูงกันอีกในคราวนี้ไฉนเล่า!
อันที่จริง ถ้าเลือกได้ ผมว่าพรรคเพื่อไทย กลับมาเสนอแผนการจัดการอนาคตประเทศ 2 ล้านล้านบาท แทนโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล 5.6 แสนล้านบาท ก็ยังจะโดนใจประชาชนมากเสียกว่า เพราะก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าโครงการนี้มีความคลุมเครือตั้งแต่แหล่งที่มาของเงิน ซึ่งก็ยังกระมิดกระเมี้ยนกันอยู่ว่าจะเอามาจากไหน
การคิดจะไปกู้ยืมเงินจากกระปุกออมสินเด็ก จะโดนคัดค้านและเป็นเผือกร้อนทางการเมืองจนรัฐบาลอาจตกเก้าอี้แน่นอน แล้วถ้าไม่ได้เงินจากออมสิน ถามว่ารัฐบาลจะไปเอาเงินจากแหล่งไหน
นอกจากนั้น รัฐบาลก็ยังไม่สามารถจะบอกกล่าวความเชื่อมั่นอะไรแก่ประชาชนได้ว่า หากแจกเงิน 5.6 แสนล้านบาทให้ประชาชนนำไปบริโภคแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตเป็นตัวเลขได้กี่เปอร์เซ็นต์
จากเดิมที่ปรับลดคาดการณ์ลงมาเหลือ GDP โตเพียง 3.2% แล้ว จะทำให้โตเป็น 4.0 หรือ 5.0% นายกฯ เศรษฐากล้าประกาศหรือเปล่า
“กระเป๋าเงิน ดิจิทัล” ยังเป็นอะไรที่ลอยไปลอยมา เห็นแต่พวกนักฉวยโอกาสและอริเก่าทำเนียน รัฐบาลก็พลอยเสียโอกาสสร้างโครงการดี ๆ ให้ประชาชนไปด้วย
นักลงทุนพลาดโอกาสทำเงินกับรัฐบาลใหม่ แนวรับ 1,300 จุด อาจไม่พอ ภายในสิ้นปีอาจได้เห็นแนวรับระดับ 1,200 จุด