TOP โชว์กำไร Q3 ทะลุ 1.1 หมื่นล้าน โตกระฉูด 923 เท่าตัว รับค่าการกลั่นพุ่ง
TOP รายงานงบไตรมาส 3/66 กำไรแตะ 1.1 หมื่นล้านบาท โตกระฉูด 92,380% จากปีก่อนมีกำไร 12 ล้านบาท รับค่าการกลั่นพุ่ง โดยสูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ พร้อมคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 61 บาท
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 66 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ดังนี้
สำหรับ TOP รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,827.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92,380.42% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 11.71 ล้านบาท เป็นผลมาจากกลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 119,656 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,189 ล้านบาท ตามราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปทานที่ตึงตัวของหลายผลิตภัณฑ์และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 13.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 7.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยานน้ำมันก๊าซและส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งกลุ่มธุรกิจผลิตสำรวจ LAB ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย
รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 9,638 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,238 ล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 66 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16,498.83 ล้านบาท ลดลง 49.27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 32,521.31 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้าคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/66 ของ TOP อยู่ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเด่นจากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 12 ล้านบาท หลักๆ จากค่าการกลั่นและกำไรสต๊อกน้ำมัน โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 61 บาท
ด้าน นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 3/2566 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 10,828 ล้านบาท เป็นผลมาจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปที่ตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในสหรัฐฯ และยุโรป ตลอดจนการประกาศห้ามส่งออกน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินชั่วคราวของประเทศรัสเซีย ส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน และส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลเมื่อเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (LAB) ที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ได้รับแรงกดดันจากราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ส่วนธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานได้รับผลกระทบจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ชะลอตัวลงและความต้องการใช้น้ำมันหล่อลื่นในภูมิภาคที่ลดลงในช่วงฤดูฝน”
โดยราคาน้ำมันดิบไตรมาส 3/2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น หลังประเทศซาอุดิอาระเบียปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม และประเทศรัสเซียปรับลดการส่งออก ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 9,638 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันอยู่ที่ 23.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
“ภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในช่วง 3 เดือนหลังของปี คาดการณ์ว่ายังอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากมีความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อนในช่วงฤดูหนาว และภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบที่คาดการณ์ว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศรัสเซียประกาศปรับลดกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปี สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์คาดการณ์ว่า จะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม (PET) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยวและเทศกาลปีใหม่ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากอุปทานลดลงจากการปิดตัวลงอย่างถาวรของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกรุ๊ป 1 ในญี่ปุ่น ทั้งนี้ ไทยออยล์จะยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ตลาดที่ผันผวน เพื่อผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง” นายบัณฑิต กล่าว