พาราสาวะถี

การเมืองเบื้องหน้าเป็นเรื่องที่ว่ากันไปสำหรับตัวผู้เล่น ส่วนการคุมเกมหรือกำหนดจังหวะเคลื่อนตัวในภาพใหญ่ทั้งหมดมันอยู่ที่ “คนเบื้องหลัง”


การเมืองเบื้องหน้าเป็นเรื่องที่ว่ากันไปสำหรับตัวผู้เล่น ส่วนการคุมเกมหรือกำหนดจังหวะเคลื่อนตัวในภาพใหญ่ทั้งหมดมันอยู่ที่ “คนเบื้องหลัง” ประเด็นที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลุดปากบอกว่าได้พบกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง จึงเป็นการฉายภาพบริบททางการเมืองที่แท้จริงได้เป็นอย่างดี ประเภทสุดโต่งอยู่ยาก พรรคแกนนำรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่า “เพื่อไทยการละคร” อาจจะไม่สมบทบาทหากไม่มีตัวประกอบชั้นยอดร่วมในการแสดง ดังนั้น หากเพื่อไทยเป็นมิตรกับทักษิณอย่างที่ธนาธรบอก ก้าวไกลกับเพื่อไทย คงไม่ใช่คู่แค้นชนิดฝังหุ่นอย่างที่เห็น

หรือหากภาพที่ปรากฏคนที่ออกมาค้าน ออกมาโจมตีฝ่ายกุมอำนาจไม่ได้เป็นไปตามที่เจ้าของพรรคอยากให้เป็น มันก็จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอนาคตสำหรับพรรคแกนนำฝ่ายค้านหากไม่ถูกยุบจากคดีความที่คาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีสิทธิ์แตกด้วยความเห็นไม่ลงรอย เหมือนภาพใหญ่การเมืองที่พูดถึงกลุ่มอำนาจเก่า-อำนาจใหม่ ในพรรคก้าวไกลคงไม่ต่างกัน อยู่ที่ว่าจะบดขยี้กันชนิดเอาเป็นเอาตาย หรืออยู่ในข่ายพบกันครึ่งทางได้ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

บอกแล้วว่าการเมืองหากจะยึดแนวทางหรือตัวตนแบบสุดลิ่มทิ่มประตูจะเดินต่อลำบาก พวกที่อยากจะคบค้าสมาคมด้วยก็ไม่กล้าเอาอนาคตมาเสี่ยง ไม่ว่าจะชนะเลือกตั้งขาดลอยขนาดไหน สุดท้ายไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็เปล่าประโยชน์ อาจมองได้ว่าโจทย์หลังเลือกตั้งครั้งหน้าเปลี่ยนไป ไม่มีพวกลากตั้งเป็นก้างขวางคอแล้ว แต่ปุจฉาตัวโตคือกว่าจะถึงวันนั้น สถานการณ์ภายในพรรคยังคงเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่นกันอยู่หรือไม่

ตรงข้ามกับเพื่อไทย การได้ แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นผู้นำพรรค มันยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิก พวกที่เสียอำนาจในการนำที่ถือว่าเป็นบรรดาอาวุโสไม่ได้รู้สึกเสียหน้า เพราะยังมีทายาททางการเมืองจะมาสืบต่อ โดยทางพรรคก็พร้อมที่จะดูแลให้ขนาดคนที่ถูกตราหน้าว่าพากัน “กวนโอ๊ย” ทั้งพ่อทั้งลูก ยังเคลียร์ใจพร้อมไปต่อ มันย่อมสะท้อนให้เห็นว่า การกระชับอำนาจ วางอนาคต และกำหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อน มันช่วยสร้างพลังในเชิงบวกให้กับบรรดา สส.และสมาชิกพรรคได้อย่างดียิ่ง

มิหนำซ้ำ หากเป็นไปตามข่าวเจ้าของพรรคตัวจริงจะพ้นโทษกลับไปอยู่บ้านช่วงต้นปีหน้า มันยิ่งจะไปช่วยเติมความคึกคัก กระชุ่มกระชวยให้กับบรรดาคนของพรรคแกนนำรัฐบาลขึ้นอีกทวีคูณ ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมืองทุกอย่างมีขึ้นมีลง แล้วแต่โอกาสว่าจะเป็นของใคร ส่วน เศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกตลบหลัง จากการแต่งเนื้อแต่งตัวรอเป็นนายกรัฐมนตรีของลูกสาวคนเล็กตระกูลชินวัตรแต่อย่างใด มีแต่เชื่อมั่นว่าจะได้รับการสนับสนุนในการทำงานอย่างเต็มที่

เพราะการพลิกขั้วก้าวขามาเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในครั้งนี้คือ “เดิมพันหมดหน้าตัก” ทั้งคนที่เป็นผู้นำประเทศและพรรคแกนนำ ในแง่ตัวบุคคลผลงานดีก็จะมีเสียงชื่นชมและได้รับการยอมรับ ส่วนจะไปต่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจอีก 4 ปีข้างหน้า (ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองใด ๆ) ส่วนเพื่อไทยถ้าผลักดันนโยบายหลักให้ขับเคลื่อนได้ตามเป้าหมาย ต่างเชื่อมั่นว่าจะช่วยเรียกคะแนนนิยมให้กลับคืนมาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ขณะเดียวกัน หากไม่เป็นไปตามที่วางแผน เศรษฐาก็กลับหลังหันไปทำธุรกิจ อยู่กับครอบครัวแบบไม่มีอะไรเสียหาย ผิดกับเพื่อไทยที่ถ้าเล่นเกมการเมือง เอาใจหัวหน้าพรรคแต่ไม่สนับสนุนนายกฯ และรัฐบาล มีแต่พังกับพัง จึงเป็นภาคบังคับที่ไม่ว่าจะอย่างไร ต้องให้การรับประกันว่าเศรษฐาและรัฐนาวาจะมีเสถียรภาพอยู่กันได้ยาว ๆ ภายใต้กระบวนการเจรจา และสร้างความร่วมมือด้วยมิตรไมตรีกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคหลักอย่างเต็มที่

ไม่ได้เกินเลยจากที่บอกไปวันก่อน ก้าวไกลแม้แนวโน้มจะดูดี แต่หากบริหารจัดการปัญหาภายในไม่ได้ ก็ขยับตัวกันลำบาก ยังไม่นับรวมเรื่องที่ถูกเครือข่ายฝ่ายแค้นรุมสกรัม มีคดีความรายล้อมรอบตัว รอดคดีหนึ่งยังมีอีกหลายคดีที่เอาคอพาดเขียง เรียกได้ว่าชะตากรรมอยู่ในภาวะต้องลุ้นตลอดเวลา การออกอาวุธเพื่อทำลายจังหวะคู่แข่งทางการเมืองมันจึงทำได้ไม่ถนัดถนี่ ตอนนี้ในระดับหัวขบวนยังต้องคุยกันหนัก เพื่อปรับจูนทัศนคติ ความคิด และความเชื่อที่เคยเห็นและมองเหมือนกันให้กลับมาเหมือนเดิม

ขณะที่ประชาธิปัตย์ภาพสาละวันเตี้ยลงแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ดูการเลือกหัวหน้าพรรคที่วางกันไว้ 9 ธันวาคมนี้จะได้ข้อยุติหรือไม่ เบื้องต้นมีผู้เสนอตัว 2 คนคือ นราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรค กับคนรุ่นใหม่ผู้มาใหม่ “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค ยังไม่มีข่าวเล็ดลอดว่าใครจะมาท้าชิงเพิ่มอีกหรือไม่ แต่แนวโน้มถ้ามีบทสรุปก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ซากปรักหักพัง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและคงอยู่จะสงบจบลงด้วยหรือไม่ หรืออาจมีบางพวกที่ต้องจำใจโบกมือลา

เป็นประเด็นขึ้นมาทันที หลังจากเศรษฐาไปพูดในที่ประชุมเพื่อไทยเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้กำกับในทำนองว่ามี สส.ขอมาเยอะ จนเจ้าตัวต้องออกมายืนยันว่า ไม่ได้ไปก้าวก่ายไม่เคยไปสั่งการ แทรกแซงกระบวนการแต่งตั้งโยกย้าย และทาง สส.ก็ไม่เคยมาขอ แต่ฝ่ายค้านและแค้นอย่างก้าวไกลรีบตีปี๊บฟันธง กรณีนี้เข้าข่ายผิดมาตรา 185 ของรัฐธรรมนูญ สส.หรือ สว. ต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทําการใด ๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

เปิดช่องย่อมนำไปสู่การเปิดประเด็นขยายผล แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่พยาน หลักฐาน การพูดปากเปล่าไม่สามารถเอาผิดหรือดำเนินคดีตามกฎหมายได้ การแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นฤดูกาลเห็นมีการเปิดโปงกันทุกครั้ง โพนทะนาว่ามีตั๋วช้าง ตั๋วยักษ์ แต่สุดท้ายไม่มีใครถูกจัดการแม้แต่รายเดียว อาชญากรอาจทิ้งหลักฐาน แต่คนที่เป็นผู้รักษากฎหมายแล้วทำในสิ่งเหล่านี้คิดว่าจะมีหลักฐานให้คนเล่นงานตัวเองอย่างนั้นหรือ รู้ทั้งรู้เขาอยู่เขาขึ้นเป็นใหญ่กันอย่างไร แต่เมื่อเอาผิดไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์ ทำได้แค่ทำใจ แล้วปล่อยให้เวรกรรมทำงานไปตามวัฏจักร ของพรรค์นี้มันอยู่ที่สำเหนียกของคน ดีชั่วรู้อยู่แก่ใจ

Back to top button