ADVANC-AWN หุ้นเสถียรภาพดี “ฟิทช์ เรทติ้งส์” อัพเครดิต “AAA” (tha)
“ฟิทช์ เรทติ้งส์” ปรับเพิ่มแนวโน้มเครดิต ADVANC-AWN เป็น ‘AAA (tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านที่เพิ่มขึ้นหลังเข้าซื้อกิจการ 3BB
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC หรือ AIS และบริษัทลูก ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN ที่ ‘AAA (tha)’ จากเดิม AA+(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) ของทั้งสองบริษัทที่ ‘F1+(tha)’
โดยการปรับอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนภาพธุรกิจของเอไอเอสที่แข็งแกร่งขึ้น ภายหลังจากการเข้าซื้อบริษัททริปเปิลทรี บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านรายใหญ่ลำดับที่สอง โดยฟิทซ์มองว่าการเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าวของเอไอเอสจะทำให้เอไอเอสมีการขยายฐานรายได้ไปยังธุรกิจอื่นที่มิใช่โทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้น ร่วมกับทำให้สถานะทางการตลาดที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาก และจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้และความสามารถในการทำกำไรในระยะกลางถึงยาว โดยฟิทซ์ยังคาดว่าเอไอเอสจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินได้ภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการ โดยที่อัตราส่วนการก่อหนี้เทียบกับกำไร EBITDA (EBITDA net Leverage) หลังการทำรายการจะอยู่เพียง 1.4 เท่า ในปี 2566 และ 2567 เทียบกับปี 2565 ที่ 1.0 เท่า
สำหรับอันดับเครดิตจะได้รับผลบวกจากการเข้าซื้อกิจการบรอดแบนด์: ฟิทช์มองว่าการเข้าซื้อกิจการ TTTBB สอดคล้องกับการเพิ่มสถานะทางการแข่งขันที่ยั่งยืนและส่งผลดีต่อการทำกำไรของ AIS การซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้เอไอเอสมีการเพิ่มสัดส่วนของรายได้ธุรกิจบริการโทรคมนาคมอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น อินเทอร์เน็ตบ้านและโทรทัศน์ และจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของเอไอเอส นอกจากนั้นฟิทซ์คาดว่าสัดส่วนรายได้จากอินเทอร์เน็ตบ้านจะสูงขึ้นเป็นประมาณ 18% หลังจากการซื้อกิจการ ซึ่งสูงขึ้นจาก 7% ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ การเข้าทำรายการดังกล่าวจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการตลาดของเอไอเอสในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านรายใหญ่อันดับสองของประเทศไทย โดยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็นประมาณ 35% จาก 16% ในปี 2565 ใกล้เคียงกับ 38% ของผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดอย่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE). นอกจากนี้การเข้าซื้อ 3BB จะช่วยให้เอไอเอสสามารถเข้าถึงตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านนอกเมือง และเพิ่มสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดพื้นที่เขตเมือง
โดยการเติบโตคาดว่าจะเร่งตัวขึ้น: ฟิทช์คาดว่าเอไอเอสจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย หลังจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอระหว่างปี 2563-2565 ฟิทช์คาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยจะเร่งตัวขึ้นเป็น 3.8% ในปี 2567 หลังจากเติบโตต่ำกว่าคาดที่ 1.9% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของรายได้จากการบริการของเอไอเอสซึ่งฟิทซ์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2%-3% ต่อปีในช่วงปี 2566 และ 2567 (เปรียบเทียบกับการเติบโตช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ที่ 2.3%)
การแข่งขันที่ดีขึ้น: ฟิทช์เชื่อว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันด้านราคาที่มีเหตุผลมากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะสนับสนุนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ของเอไอเอส อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยเริ่มมีสัญญาณการเติบโตที่ดีขึ้นจากการแข่งขันที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ภายหลังจากการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC แล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2566 ผู้ประกอบการได้กลับมาให้ความสำคัญกับการสร้างกำไร มากกว่าการช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด โดยได้เริ่มลดการนำเสนอแพ็กเกจที่ใช้งานข้อมูลได้อย่างไม่จำกัด ลงอย่างต่อเนื่อง
ภาระหนี้ที่สูงขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง: ฟิทซ์คาดว่าอัตราส่วน EBITDA net Leverage ของเอไอเอสจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.4 เท่า ณ สิ้นปี 2566 หลังจากการเข้าซื้อกิจการ TTTBB (ณ ไตรมาส 3 ปี 2566 อยู่ที่ 1.1 เท่า) ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับ 2.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทซ์อาจจะพิจารณาการปรับลดอันดับเครดิต แม้ว่าความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมโดยไม่กระทบกับอันดับเครดิตจะปรับตัวลดลง แต่ฟิทซ์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของเอไอเอสจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2567 และ 2568 จากกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น
ตำแหน่งผู้นำทางการตลาด: ฟิทช์เชื่อว่าเอไอเอสจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ด้านบริการไว้ที่ประมาณร้อยละ 48 ในระยะกลาง (เปรียบเทียบกับปี 2565ที่ร้อยละ 47) โดยได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดเนื่องจากมีฐานลูกค้าและธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้น นอกจากนั้นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และเครือข่ายโทรศัพท์ที่ครอบคลุมมากที่สุด เอไอเอสสามารถขยายธุรกิจไปสู่บริการอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง โดยมีรายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 16 ในปี 2565