ทำความรู้จักกองทุนนวัตกรรม ONE-ULTRAPLUS

ONE-ULTRAPLUS เน้นลงทุนสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นต่างประเทศ พร้อมรับสิทธิความคุ้มครองประกันชีวิตและประกันสุขภาพ


เส้นทางนักลงทุน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการออกกองทุนที่น่าสนใจ ที่มีลักษณะพิเศษและเป็นกองแรกของประเทศไทย นั่นคือ “กองทุนเปิด วรรณ อัลตร้า อินคัม พลัส ฟันด์ (ONE-ULTRAPLUS)” ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด, บริษัท เคจีไอ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ (ประเทศไทย) และบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

สาเหตุที่บอกว่ากองทุนนี้มีลักษณะพิเศษและเป็นกองแรกของประเทศไทย เนื่องจากกองทุนจะมุ่งเน้นในเรื่องการออม พ่วงสิทธิคุ้มครองประกันชีวิต การดูแลสุขภาพ ควบคู่ไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของอุตสาหกรรมกองทุนไทย

ทั้งนี้ ONE-ULTRAPLUS เน้นลงทุนสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นต่างประเทศ พร้อมรับสิทธิความคุ้มครองประกันชีวิตและประกันสุขภาพจากบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ซึ่งสิทธิการคุ้มครองนี้จะขึ้นอยู่กับจำนวนหน่วยของผู้ถือหน่วยลงทุน ส่วนการชำระค่าเบี้ยประกัน ทางบลจ.วรรณ จะเป็นผู้รับภาระค่าเบี้ยประกันภัยทั้งหมดให้ ผู้ลงทุนไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก

โดย ONE-ULTRAPLUS จะมี 2 class หรือชนิดหน่วยลงทุน ได้แก่ 1.หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ONE-ULTRAPLUS-RA) และ 2.หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม แบบไม่จ่ายเงินปันผล (ONE-ULTRAPLUS-ASSF) ซึ่งหน่วยลงทุนชนิดนี้จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีด้วย เพราะจดทะเบียนเป็นกองทุนประเภท Super Saving Fund หรือ SSF

“พจน์ หะริณสุต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ ให้ข้อมูลว่า ONE-ULTRAPLUS-RA และ ONE-ULTRAPLUS-ASSF มีการบริหารพอร์ตที่มีสัดส่วนการลงทุนที่มีความยืดหยุ่น 0-100% โดยพอร์ตการลงทุนในกองทุนทั้ง 2 จะมีการบริหารเชิงรุกมากขึ้น

รวมทั้งระบุว่า ผลจากการศึกษาย้อนหลังทางสถิติ 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าพอร์ตการลงทุนที่มีสินทรัพย์ทางเลือกจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ที่ 8-9% ต่อปี ดังนั้นพอร์ตการลงทุนของ ONE-ULTRAPLUS ที่เน้นกระจายการลงทุนตราสารทุน ตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศประมาณ 60% หุ้นในประเทศประมาณ 10% ตราสารหนี้ไทยประมาณ 20% และสินทรัพย์ทางเลือกประมาณ 10% โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยให้ได้ 6-8% ต่อปี (หลังหักค่าใช้จ่าย)

เนื่องจากเป็นของใหม่ จึงอาจจะมีคำถามว่า ความคุ้มครองทางด้านประกันชีวิตและสุขภาพที่บอกว่าขึ้นอยู่กับจำนวนหน่วยลงทุนนั้นเป็นอย่างไร ในเคสนี้จะแบ่งออกเป็น 5 แผน ประกอบด้วย

แผนที่ 1 สำหรับหน่วยลงทุนตั้งแต่ 4,500 หน่วย แต่ไม่ถึง 45,000 หน่วย, แผนที่ 2 หน่วยลงทุนตั้งแต่ 45,000 หน่วย แต่ไม่ถึง 145,000 หน่วย, แผนที่ 3 หน่วยลงทุน ตั้งแต่ 145,000 หน่วย แต่ไม่ถึง 450,000 หน่วย, แผนที่ 4 หน่วยลงทุนตั้งแต่ 450,000 หน่วย แต่ไม่ถึง 900,000 หน่วย และแผนที่ 5 หน่วยลงทุนตั้งแต่ 900,000 หน่วยขึ้นไป ดังนั้นหากมีการขายหน่วยลงทุนออก ความคุ้มครองของแต่ละแผนที่เคยได้รับก็จะถอยลงไปตามจำนวนหน่วยลงทุนที่เหลืออยู่

ความคุ้มครองที่ได้รับจะเป็นทั้งกรณีการเสียชีวิต และการรักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) ทั้งค่าห้องผู้ป่วยปกติ ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U.) ค่าแพทย์ ค่าตรวจ ค่ารักษาพยาบาลอุบัติเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น รวมทั้งการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ซึ่งเงื่อนไขจะเป็นไปตามแผนความคุ้มครองที่ บลจ.วรรณ และเมืองไทยประกันชีวิตกำหนด

คนที่ซื้อกองทุนนี้และเป็นผู้มีสิทธิได้รับความคุ้มครองประกันชีวิตและสุขภาพดังกล่าว จะต้องเป็นบุคคลธรรมดา มีอายุระหว่าง 15-75 ปี มีสุขภาพแข็งแรง โดยความคุ้มครองจะเริ่มต้นทุกวันที่ 1 ของแต่ละไตรมาส หรือ 1 มกราคม หรือ 1 เมษายน หรือ 1 กรกฎาคม หรือ 1 ตุลาคมของทุกปี และระยะเวลาของความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันชีวิตและสุขภาพกลุ่ม ระยะเวลากรมธรรม์มีผลบังคับ 1 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2567

มีการเซอร์เวย์กันว่ากองทุนนี้น่าจะโดนใจคนเจน Z, กลุ่มคนทำงานอาชีพอิสระที่ต้องการลงทุนระยะยาว ซึ่งเป็นการใช้เงินก้อนเดียวให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านการออมและการประกันชีวิต ดูแลสุขภาพ โดยกองทุนนี้กำลังเปิดขายระหว่างวันที่ 6-19 ธันวาคมนี้

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกประเภทย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนว่าตรงตามวัตถุประสงค์ เป้าหมายการลงทุนของตัวเองหรือไม่ หรือติดต่อสอบถามไปที่บลจ.วรรณ ได้เลย

Back to top button