นู๋ซ่าจอมหมกเม็ด?
กลายเป็นเรื่องราวที่เม้าท์กันสนุกปากในหมู่ “นักการเงิน” กับ “นักลงทุน” มาพักใหญ่ ๆ และเรื่องดังกล่าวก็โหมกระพือหนักขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน
กลายเป็นเรื่องราวที่เม้าท์กันสนุกปากในหมู่ “นักการเงิน” กับ “นักลงทุน” มาพักใหญ่ ๆ และเรื่องดังกล่าวก็โหมกระพือหนักขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน จนวานนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ออกจดหมายเตือนผู้ถือหุ้น และผู้ลงทุนทั่วไป เมื่อไปพบพิรุธในการทำธุรกรรมบางอย่างของ NUSA เข้าจังเบ้อเร่อ ผนวกกับได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มของเฮีย ป.พาเพลิน เป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมกับบรรยายเหตุผลในการเปิดประชุมวิสามัญแบบนี้..สนุกแน่เจ้าค่ะ
ว่ากันว่าเรื่องนี้มีกลิ่นตุ ๆ มาตั้งแต่ความไว้เนื้อเชื่อใจของฝั่ง “เจ๊.ม” กับฝั่งของ “เฮีย.ป” เริ่มจืดจางลงเรื่อย ๆ เพราะฝ่ายหญิงหมกเม็ดเรื่องบางอย่างแบบตีเนียน และพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะพูดความจริง จนทำให้ฝั่ง เฮีย.ป รู้สึกเหมือนโดนผ่องเงินออกจากบริษัทตลอดเวลา จึงส่งมือดีเข้าไปตรวจสอบธุรกรรมต่าง ๆ ที่ต้องสงสัย และในที่สุดก็เจอกับเรื่องผิดปกติเหมือนที่ชาวหุ้นนินทากันจริง ๆ พะย่ะค่ะ
ตรงนั้นกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทั้ง 2 ฝั่งมองหน้ากันไม่ติด จนนำไปสู่การใช้มาตรา 100 เพื่อเปิดทางให้ผู้ถือหุ้นมาช่วยกันโหวตคนของ “เจ๊.ม” ออกไปให้พ้นบริษัท ซึ่งจะได้ตรวจสอบธุรกรรมอำพรางบางอย่างแบบสะดวกโยธิน แต่ก็ถูกสกัดด้วยเหตุผลที่ว่า หนังสือดังกล่าวไม่มีรายละเอียดมากพอ ทางบอร์ดเลยไม่เห็นเหตุผลในการต้องเปิดประชุม ซึ่งทำให้ฝั่ง “เฮีย.ป” ต้องกลับไปตั้งหลักใหม่ พร้อมกับเร่งทำรายละเอียดมาใหม่นะคะ
เมื่อเล่นกันแบบนี้ ก็ทำให้ฝั่ง “เฮีย.ป” เดินเกมหนักแบบสุดซอย พร้อมกับอัดรายละเอียดในการ “ขอปลด” และ “เพิ่มบอร์ด” เพื่อเข้าไปกุมอำนาจในการตรวจสอบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะขืนปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มีหวังบริษัทเหลือแต่กระดอง จึงแทงจดหมายไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ ก.ล.ต. และ ตลท. รวมถึงกรรมการณุศาไงล่ะคะ
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อหนังสือร้องเรียนฉบับดังกล่าวถึงมือ ตลท. อย่างเป็นทางการ และได้มีการตรวจสอบรายละเอียดในเบื้องต้น วานนี้ ตลท. เลยเปิดปฏิบัติการ alert เพื่อแจ้งให้ชาวหุ้นตระหนักถึงเงื่อนงำบางอย่างที่กำลังจะถูกเปิดเผยในไม่ช้า พร้อมกับสั่งให้ NUSA ชี้แจงข้อมูลงบการเงินไตรมาส 3 ปี 66 ให้ชัดเจนมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้มันเหมือนการตอบแบบขอไปทีนะจ๊ะ
โดยเที่ยวนี้ ตลท. ตั้งคำถามไว้ทั้งหมด 3 ประเด็นด้วยกันคือ 1.การเปลี่ยนกรอบเวลากำหนดราคาซื้อหุ้น บริษัท พานาซี แฟร์วาลทุงส์ จีเอ็มบีเอช หรือ PNCV และการเลื่อนเปิดดำเนินการโรงแรมที่เยอรมนี ซึ่งมีลักษณะของรายการที่พิลึกสุด ๆ คือ เมื่อ 30 ก.ย 66 ได้มีการจ่ายเงินมัดจำเพิ่มอีก 2 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 711 ล้านบาท (96% ของมูลค่าซื้อสินทรัพย์) และนำมาสู่การขยายเวลาสรุปราคาซื้อสุดท้าย ซึ่งเคยแจ้งว่าจะได้ข้อสรุป 14 พ.ย. 66 ต่อจากนั้นกลายเป็นว่า วันที่ 30 พ.ย. 66 บริษัทดันแจ้งเลื่อนเปิดโรงแรมจากไตรมาส 4 ปี 66 ไปเป็นภายในปี 67 เสียอย่างนั้น!
ส่วนประเด็นที่ 2 เป็นเรื่องของการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ยกแปลงให้กับบริษัทที่เกี่ยวโยง ซึ่งเป็นผลมาจากเมื่อวันที่ 15 ก.ย 66 คณะกรรมการบริษัทมีมติขายโครงการตามราคาที่ตกลงกัน โดยได้รับเงินแล้ว 98 ล้านบาท (50% ของราคาขาย) ที่เหลือให้ชำระใน 18 เดือน โดยได้โอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อแล้ว ขณะที่ 8 พ.ย. 66 ในที่ประชุม AC มีมติไม่เห็นชอบ เนื่องจากเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน และไม่ขออนุมัติ AC ให้ถูกต้องตามขั้นตอน แถมราคาขายก็ส่อไปในทางที่ถูกเกินไป โดยผู้บริหารอยู่ระหว่างซื้อโครงการคืนแบบนี้..ทำได้เหรอเจ๊!
สำหรับประเด็นที่ 3 การกู้ยืมเงินจากกิจการอื่นโดยวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเกินกว่ายอดเงินกู้ยืม 5 เท่า และเที่ยวนี้เป็นการใช้หุ้น DEMCO จำนวน 29.07 ล้านหุ้นไปวางไว้เสียด้วย และเมื่อรวมทั้ง 3 ประเด็นที่มีข้อสงสัยเข้าด้วยกันจะพบว่า ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่า 937 ล้านบาทเชียวนา! ตลท. จึงยื่นคำขาดให้บริษัทออกมาชี้แจงภายในวันที่ 2 ม.ค. 67 เพื่อจะได้ตรวจสอบในขั้นถัดไปไงล่ะคะ
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “เจ๊.ม” กับคุณสามีอย่าง “เฮีย.ณ” กลายเป็นบุคคลที่ชื่อดังกระฉ่อนยิ่งกว่าเดิม เพราะเมื่อย้อนไปดูวีกรรมเก่า ๆ ที่เคยสร้างไว้ มันมีแต่คนส่ายหน้าหนีกันเป็นแถว “โมนิก้า” ในฐานะคนกลางถึงอยากให้ทั้งคู่ออกมาบอกกับสังคมด้วยตัวคุณเองว่า จริงเหมือนที่แมงลือเขาเม้าท์ไหม? แถมประเด็นที่เม้าท์มาทั้งหมดก็เสี่ยงเป็นคดีความเสียด้วยแบบนี้..รีบเคลียร์ให้มันจบ ๆ ดีกว่านะคะ