ไม่รอด! ศาลสั่งจำคุก “ลุงพล” 20 ปี หลักฐานมัด “คดีน้องชมพู่” ดับกลางป่า
ศาลมุกดาหาร พิพากษา สั่งจำคุก “ลุงพล” 20 ปี ผิด 2 ข้อหาคดีฆ่าน้องชมพู่ หลังหลักฐานชี้ชัดประมาทจนทำให้น้องชมพูเสียชีวิต ด้าน “ป้าแต๋น” รอดศาลยกฟ้อง ไร้หลักฐานพิสูจน์ความผิด
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (20 ธันวาคม 2566) เวลา 10:00 น. ศาลมุกดาหาร ได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1013/2564 ระหว่างพนักงานอัยการ จ.มุกดาหาร โจทก์ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ 1 นายอนามัย วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ 2 กับนาย ไชย์พล วิภา หรือ พล จำเลยที่ 1 และนางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือ แต๋น จำเลยที่ 2 โดยมีโจทก์ร่วมทั้ง 2 ยื่นคำร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง
โดยพิพากษาว่า นายไชย์พล วิภา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.291 ,317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้ง 2
ขณะที่มีรายละเลียดคำพิพากษาคดีดังกล่าวว่า การสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจในคดีนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังจำเลยที่ 1 มาแต่แรก หากเกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐานและตั้งข้อสันนิษฐานอย่างเป็นลำดับขั้นตอนดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น โดยไม่ปรากฎว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องคนใดมีสาเหตุโกรธเคืองหรือมูลเหตุชักจูงใจในการใส่ร้ายจำเลยที่ 1 จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่พาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ เนื่องจากผู้ตายมีอายุเพียง 3 ขวบไม่สามารถขึ้นเขาไปเองได้ ขณะเดียวเดียวกันจำเลยที่ 1 ไม่สามารถยืนยันที่อยู่ขณะเกิดเหตุว่าอยู่ในจุดใด เมื่อเทียบกับผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆในคดีนี้
ทั้งนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมทั้งสองหรือผู้ตายมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทอดทิ้งผู้ตาย ประกอบกับรายงานการตรวจศพผู้ตายพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผากด้านซ้ายและท้ายทอยเป็นจ้ำ ๆ จึงอาจเป็นกรณีที่ผู้ตายหมดสติไป ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ใด้ตรวจดูให้ดีเลยพาผู้ตายไปทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
สำหรับคดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 เห็นควรพิพากษายกฟ้อง จึงให้รวมไว้ในสำนวน ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11 (1)