MGC ทะยานรับเทรนด์ยานยนต์อีวี

MGC ดำเนินธุรกิจจำหน่ายยานยน แม้ผลการดำเนินงานใตรมาส 3/2566 กำไจะลดลง 78.5% แต่ในแง่รายได้จากการขายและบริการยังเติบโต


คุณค่าบริษัท

บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC ดำเนินธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ BMW Mini Honda และ Rolls-Royce รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ BMW Motorrad และ Harley-Davidson เรือยอชท์ยี่ห้อ Azimut และเรือแม่น้ำยี่ห้อ Chris Craft แม้ผลการดำเนินงานในใตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิจะลดลง 78.5% อยู่ที่ 30 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 139.4 ล้านบาท แต่ในแง่รายได้จากการขายและบริการยังเติบโต 3.3% อยู่ที่ 5,907 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการ 5,719.2 ล้านบาท

สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหาร ประกอบด้วย 1)ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานที่เพิ่มขึ้นจากการว่าจ้างผู้บริหารและพนักงานเพิ่มเติมเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท 2)การจัดกิจกรรมการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้า รวมถึงการขาดแคลนรถส่งมอบแบรนด์ Honda และ Harley Davidson ในเดือน ก.ค.และส.ค. 3)ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าเสื่อมราคา และค่าสาธารณูปโภค

ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 มีกำไรสุทธิ 228.8 ล้านบาท ลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท และมีรายได้รวม 18,449 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการ 16,657 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ถูกมองว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น และมีการจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นกลุ่มลูกค้าของ MGC ที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง สะท้อนได้จากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทุกรูปแบบ และทุกแบรนด์ของ MGC ยังเติบโตต่อเนื่องตามเทรนด์ของรถยนต์ EV ขณะที่ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) สาขาแรกถนนรามคำแหง ก็ได้รับการตอบรับที่ดี

โดย ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2566 บริษัทมียอดจองซื้อ (Backlog) มากกว่า 900 คัน ที่รอส่งมอบอย่างต่อเนื่อง และจะมียอดจองซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริหารมั่นใจปีนี้รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2565 ที่มีรายได้รวม 23,076.2 ล้านบาท

ด้านบล.ทิสโก้ ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/2566 ของ MGC จะเติบโตจากไตรมาสก่อน จากช่วงไฮซีซั่นที่ปริมาณการส่งมอบยานยนต์จะเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 1,000 หน่วย โดยมียอดจองของ BMW ที่รอส่งมอบในระดับสูง รวมถึง Rolls-Royce Spectre ที่เพิ่งเปิดตัวไป และคาดว่าจะมีการส่งมอบเรือทั้ง Azimut และ Christ Craft รวม 3 ลำอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ปรับประมาณการปี 2566-2567 ลง 40-37% ตามลำดับ เป็น 410-486 ล้านบาท เพื่อสะท้อนการแข่งขันที่รุนแรง และจากการปรับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท JV ทั้ง 3 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย 1.Howden Maxi (ถือ 38.3%) 2.AlphaX (ถือ 50%) และ 3.Auto SmartX (ถือ 30%) ลดลง 7 ล้านบาท และ 56 ล้านบาท (จากเดิม 53-90 ล้านบาท) ตามลำดับ

สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น MGC ซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 12.46 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 18.33 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายต่ำกว่าตลาด อย่างไรก็ตามถ้าไปดู P/BV ที่ระดับ 1.77 เท่า ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ปัจจุบันซื้อขาย P/BV เฉลี่ยที่ 1.36 เท่า

Back to top button