พาราสาวะถี
ใช้เวลาไปชั่วโมง 40 นาทีในการชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 สำหรับ เศรษฐา ทวีสิน สาระสำคัญที่เป็นไฮไลต์คือ นายกรัฐมนตรีย้ำจะใช้เงินจากภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้เวลาไปชั่วโมง 40 นาทีในการชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 สำหรับ เศรษฐา ทวีสิน สาระสำคัญที่เป็นไฮไลต์คือ นายกรัฐมนตรีย้ำจะใช้เงินจากภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ขายความฝันเรื่องการดันเศรษฐกิจให้โตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่มิติทางสังคมคือการอัพเกรดบัตรทอง 30 บาท ที่เห็นคือการนำร่อง 4 จังหวัดบัตรประชาชนใบเดียวใช้ได้ทุกที่ รวมทั้งเรื่องการเกณฑ์ทหารที่จะเปลี่ยนให้เป็นแบบสมัครใจ
นอกจากนั้น ยังได้พูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เศรษฐาย้ำว่า จะแก้ไขจุดด้อยของรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา ผ่านการทำงานที่โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยจะแก้ไขรัฐธรรมนูญบนหลักการที่เป็นไปได้มากที่สุดและเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งใหม่ในสังคมไทย โดยภาพรวมก็ต้องบอกว่าด้วยข้อจำกัดของระยะเวลาที่ต้องเร่งจัดทำงบประมาณให้เสร็จใน 3 เดือนก่อนส่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา คงจะขยับปรับเปลี่ยนอะไรได้ไม่มาก ยิ่งมียุทธศาสตร์ของพวกอยากอยู่ยาวตีกรอบไว้จึงต้องให้เป็นไปตามนั้นก่อน
ต้องอย่าลืมว่า หากจะทำอะไรให้ได้ตามที่ใจต้องการ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดสรรงบประมาณใหม่ทั้งหมด เศรษฐาและรัฐบาลก็จะตกเป็นเป้าหมายในการถูกเล่นงานเสียเอง จากบรรดาพวกนักร้อง และบางองค์กรที่รอจังหวะอยู่แล้ว ดังนั้น จึงต้องทนเสียงกระแนะกระแหนจากฝ่ายค้านตามที่ ชัยธวัช ตุลาธน อภิปรายภาพรวมว่า คิดใหญ่ทำเป็น กลายพันธุ์เป็นคิดไปทำไป พร้อมโจมตีว่าเป็นรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ แบ่งกินแบ่งใช้ เพื่อวาระแก้วิกฤตชนชั้นนำ
โดยกลเกมทางการเมืองมันต้องเล่นบทกันแบบนี้ ปัญหาที่ถูกสร้างไว้จากรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมองจากโลกแห่งความเป็นจริงหลังเลือกตั้งพฤษภาคม 2566 ก็เห็นแล้วว่า ขนาดกลไกในการตั้งรัฐบาล พรรคที่ชนะเลือกตั้งยังไม่มีปัญญาที่จะหาเสียงสนับสนุนจากพวกลากตั้งเพื่อผลักดันให้หัวหน้าพรรคของตัวเองเป็นนายกฯ ได้ มิหนำซ้ำ ยังถูกเล่นงานจากข้อกฎหมายที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นมรดกตกทอดของขบวนการอยากอยู่ยาว
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลจะประชดประชันเพื่อไทยว่าคิดใหญ่ทำเป็นไม่ได้แค่คิดไปทำไป เพราะปัญหามันหนักหนาสาหัส หน้างานต้องแก้ไขกันตามสถานการณ์ ผิดกับอีกฝ่ายที่คิดได้ พูดได้ แต่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปทำจริง จึงไม่รู้ไส้ในของปัญหา เอาแค่ประเด็นเจตนารมณ์หรือหลักการของพรรคในเรื่องความเท่าเทียมต่าง ๆ โดยเฉพาะการคุกคามทางเพศ การตะเพิด 2 สส.ของพรรคออกไป ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า กระบวนการคัดกรองคนของพรรคนั้นเป็นอย่างไร
ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้เห็นพฤติกรรมของความพยายามที่จะอุ้มสมคนทำผิด แต่สุดท้ายทานกระแสกดดันจากสังคมไม่ได้ จนต้องประชุมกันใหม่เพื่อเปลี่ยนมติ ถือเป็นบทเรียนอย่างหนึ่งว่าไม่ใช่จะมองแต่ความก้าวหน้า ใช้วัตถุนิยมหรือความทันสมัยเป็นที่ตั้ง จนลืมเรื่องของศีลธรรมจรรยาไปเสียฉิบ อย่างไรก็ตาม เรื่องการตั้งข้อสังเกตของฝ่ายค้าน ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลชี้ว่า อย่าหาเหตุเอามาเป็นดราม่าเพื่อทำลายเครดิตรัฐบาล
โดยเฉพาะกับเรื่องที่ว่า รัฐบาลส่งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณภายในระยะเวลากระชั้นชิด ทำให้ฝ่ายค้านมีเวลาศึกษาน้อย เสี่ยอ้วนก็มองว่า เมื่อรัฐบาลเข้ามาเวลาส่วนหนึ่งจากรัฐบาลเดิมนั้นกระชั้นแล้ว ก็อยากให้งบประมาณรีบออก จึงเร่งปรับแล้วรีบส่งให้ เชื่อว่าฝ่ายค้านในยุคสมัยใหม่ มีเครื่องมือคอมพิวเตอร์ แอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำได้ ความจริงทำทันอยู่แล้ว ถือเป็นการตีถูกจุด เพราะคนและพรรคที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดีย จึงไม่ควรมีข้อจำกัดในเรื่องการศึกษาข้อมูล และน่าจะทำได้เร็วกว่านักการเมืองรุ่นเก่าเสียด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ ในฐานะประชาชนคงต้องใช้ช่วงเวลา 3 วันประเมินผลการอภิปรายของ สส.ฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมทั้งการตอบข้อซักถาม ข้อสงสัยของฝ่ายรัฐบาล เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนมากน้อยขนาดไหน ที่น่าสนใจส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของผู้นำฝ่ายค้านคือ หวังว่าเวทีนี้จะไม่ใช่เวทีตบทรัพย์ของนักเลือกตั้งบางพวกบางราย ย่อมสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่า ในกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณนั้นมีช่องโหว่ ช่องว่าง อันจะเป็นช่องทางทำมาหากินกันได้
นั่นจึงเป็นสิ่งที่ย้ำมาโดยตลอด แอ็กชันต่าง ๆ จงอย่ามั่นใจว่าภาพที่เห็น ประเด็นที่ได้ยินได้ฟังทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น ต้องรอให้ร่างกฎหมายผ่านวาระรับหลักการไปแล้ว และมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาพิจารณาเสียก่อน จะได้รู้ได้เห็นว่ามีการวิ่งเต้นต่อรองกันขนาดไหน ถึงเวลานั้นไม่มีคำว่าฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล จะมีแต่เพื่อนพ้องน้องพี่ ใครกล้าปฏิเสธว่าการเมืองไม่จำเป็นต้องใช้ทุน และไม่ต้องหาทุนเพิ่มเติม ยิ่งต้นทุนทางการเมืองต่างก็รู้ดีว่าต้องใช้กันมหาศาลขนาดไหน
ไม่เพียงแต่บรรดานักเลือกตั้งและพรรคการเมืองในสภาเท่านั้น แม้แต่พวกนักเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหลาย จำนวนไม่น้อยล้วนแต่เป็นพวกปากว่าตาขยิบทั้งสิ้น ไม่เชื่อลองไปถามอดีตหัวขบวนของคนที่อ้างฝ่ายประชาธิปไตยไปทำมาหากินก็ได้ กับรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ผ่านมา ได้รับการอุดหนุนงบประมาณผ่าน สส.บางรายที่เป็นทีมหากินร่วมกันไปเท่าไหร่ และเป็นเงินที่ได้มาจากคนสำคัญของขบวนการอยากอยู่ยาวล้วน ๆ เราจึงไม่เคยได้ยินว่าแกนนำรายนั้น ให้ร้ายหรือโจมตีบุคคลดังว่าทั้งที่เป็นแกนหลักของเผด็จการสืบทอดอำนาจแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้ทำให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นหลังจากอำนาจเก่าถูกเขี่ยพ้นเส้นทาง การต่อสู้ทางการเมืองจากนี้ จะเป็นการประลองกันระหว่างเพื่อไทยกับก้าวไกลอย่างแท้จริง จะเป็นการชิงไหวชิงพริบโดยที่ฝ่ายหนึ่งมีกลไกอำนาจอยู่ในมือและเร่งผลิตผลงานให้ประชาชนประทับใจ ขณะที่อีกฝ่ายก็จะใช้ความช่ำชองด้านการสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลและเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในการขยายฐานความนิยม แต่จะสู้กันแบบยืนระยะยาว ๆ หรือไม่ ต้องรอการชี้ชะตาของพรรคแกนนำฝ่ายค้านในปลายเดือนนี้ก่อน